
ไม่เล็กน้อยอย่างที่คิด
นักเรียนกับค่าขนมคู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
แต่ละวันเรียนจะต้องมีเงินติดตัว เพื่อการใช้จ่ายส่วนตัวในสิ่งที่ชอบ
แม้ว่าหลายโรงเรียนจะจัดอาหารให้เด็กทานเป็นประจำแล้ว
แต่ค่าขนมยังต้องมี เหมือนสิ่งต้องบังคับ
จะได้มากได้น้อย ก็สุดแล้วแต่ดุลยพินิจของพ่อแม่แต่ละคน
ค่าขนมจึงไม่ต่างกับเงินจ้างลูกให้ไปเรียนแต่ละวัน
มันอาจจะดูแค่จำนวนน้อยๆ ที่เด็กใช้จ่าย
ทว่าสำหรับธุรกิจด้านการบริโภคแล้ว มันคือตัวกำไรมหาศาล
จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดูดเงินจากกระเป๋าของเด็กในแต่ละวัน
จนเกิดเป็น วัฒนธรรมช้อปไว ใช้แหลก แดกด่วน สำหรับเด็กไทยยุคนี้
ดังที่ข่าวการสัมมนา เด็กไทยในมิติวัฒนธรรม 2 : เด็กไทยในวัฒนธรรมกิน ดื่ม ช้อป กล่าวไว้
พร้อมกับตัวเลขที่เห็นแล้วอดจะวิตกไม่ได้
เด็กวัย 5-24 ปี ราว 21 ล้านคน มีเงินไปโรงเรียนราวปีละ 3.5 แสนล้านบาท
ในจำนวนนี้ ใช้เพื่อซื้อขนมขบเคี้ยวกว่า 1.6 แสนล้านบาท
ซึ่งมากกว่างบประมาณของ 6 กระทรวงรวมกันเสียอีก
จริงๆแล้ว การใช้จ่ายของเด็กแต่ละคนนั้นไม่มาก
ยิ่งถ้าคำนึงถึงกำลังเงินของพ่อแม่ในต่างจังหวัดด้วยแล้ว
แต่พอรวมกันแล้ว มันเป็นจำนวนมหาศาล
อย่างไม่น่าเชื่อ
ส่วนหนึ่งมาจากค่านิยมที่สร้างกันขึ้นมา
จากที่เคยเป็นของฟุ่มเฟือย กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
กลายเป็นภาระให้พ่อแม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย
เผลอ ๆ ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี...
แล้วก็เป็นอย่างนี้แทบทุกเรื่อง
หากมองแค่เป็นเรื่องเล็กน้อย ก็คงไม่มีอะไรมาก
แต่พอรวมตัวกันเมื่อไร มันไม่เล็กน้อยอย่างคิด
อย่างเช่นความดีความชั่วที่แต่ละคนทำ
หากมองแค่เป็นรายบุคคล ก็คงจะไม่มาก
แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกัน มันไม่ใช่แค่นั้นแค่นี้แล้ว
ความชั่วที่ทำกัน กลายเป็นมลพิษสังคมที่น่าวิตก
เป็นบรรยากาศที่สร้างความอึดอัดและสร้างกระแส
กระทั่งหลายคนต้องหวาดหวั่น ถึงกับต้องวิตกจริต
หากสังคมย่ำแย่ขนาดนี้ แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร
น่าเป็นห่วงเด็ก ๆ ที่ต้องมาซึมซับกับสิ่งเลวร้าย
ก่อนที่จะมีภูมิ (ความดี) ต้านทานเสียด้วยซ้ำไป
แล้วได้แต่หวังว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะจัดการอะไรได้บ้าง
อย่างน้อย ก็อย่าให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้
เพราะถึงอย่างไรตนก็คงทำอะไรไม่ได้มาก
ไม่น้อยคงถึงขนาดท้อแท้ สิ้นความหวังใด ๆ
ปล่อยเลยตามเลย... อย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรเสีย ก็เอาแค่ตัวไว้ก่อน
แต่หากคิดบ้างว่า ความดีที่หมั่นทำ แม้จะเล็กน้อย
เมื่อรวมเข้าด้วยกัน ก็สามารถเป็นกระแสได้เหมือนกัน
พลังความดีนั้นยิ่งใหญ่ไปกว่าความชั่วเป็นไหน ๆ
เพราะเป็นพลังที่ไปรวมกับพระเจ้า องค์แห่งความดี
ก็ย่อมจะสามารถเอาชนะกระแสความไม่ดีได้อย่างแน่นอน
เฉกเช่นน้ำดีไล่น้ำเสีย...อย่างไรอย่างนั้น
ขอเพียงแต่ให้คนดีอย่าได้ท้อแท้
คงไร้ประโยชน์ที่จะเที่ยวห้ำหั่นคนชั่ว
หรือพากันสาปแช่งให้มีอันเป็นไปตาม ๆ กัน
เพราะเท่ากับเป็นการเพิ่มเติม สั่งสม ความไม่ดีให้มากขึ้น
ขอเพียงแค่มั่นคงในการทำดีตามความสามารถ
แล้วพลังแห่งความดีจะทำให้ความชั่วลดน้อยถอยลง
กระทั่งหมดสิ้นไปในที่สุด .