เด็กทุกวันนี้ฉลาดและรอบรู้
สิ่งเอื้อความรู้และทักษะมีมากจนเลือกไม่ถูก
นึกว่าคุณพ่อคุณแม่จะรู้มากและมีทักษะแทบทุกเรื่องแล้ว
แต่เอาจริงเข้า มีหลายอย่างที่เด็กรู้และมีทักษะมากกว่าเป็นไหนๆ
จนหลายครั้ง พูดคุยกับลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่เกิดความรู้สึกหลุดโลกไปเลยก็มี
ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ที่วันหนึ่งๆ เอาแต่ก้มหน้าทำมาหากินจนแทบไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรนอกเหนือไปจากงานที่ทำด้วยแล้ว
โอกาสพูดคุยกับลูก คนละภาษา จะมีค่อนข้างมาก
วันก่อนแม่คนหนึ่งคุยเรื่องลูกให้ฟัง
ลูกอยู่อนุบาลสาม ฉลาดเงียบ...ทำเหมือนไม่รู้ แต่รู้ไปหมด
เรียนคำสอนจนได้บทสวดกลับมาหลายบท
ก่อนนอน แม่ก็ให้สวด...สั้นบ้าง ยาวบ้าง แล้วแต่จะง่วงมากง่วงน้อย
แต่บทสวดยืนพื้นคือ วันทามารีอา...อย่างน้อยที่สุดต้องสวดบทนี้ ด้วยบังคับ
หนูน้อยน่ารักสวดเสียงแจ้วๆ ตาก็มองหมอน
แต่สวดไม่เคยจบบทสักที...เว้นประโยคสุดท้ายไว้อย่างตั้งใจ
แม่ก็อดถามไม่ได้...ที่สวดไม่จบ เพราะจำไม่ได้หรืออย่างไร
แค่ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ...บัดนี้และเมื่อจะตาย
ก็หนูยังไม่อยากตายนี่... ลูกให้เหตุผล แม่จนปัญญา
มันคงแปลกสำหรับหนูน้อย ที่เพิ่งจะเกิดมาได้ไม่นาน กำลังสนุกกับชีวิต...แล้วจะต้องไปคิดถึงพูดถึงความตาย
ชีวิตมันน่าจะไม่มีวันจบสิ้น...เห็นคนอื่นๆ ที่ตัวโตกว่า ยังอยู่ได้ตั้งนาน จนแก่เฒ่า
เออ...เมื่อถึงตอนนั้นแล้วค่อยพูดถึงความตาย
และนี่คือชีวิตเด็ก...ใบหน้าบ้องแบ๊ว เลอะเทอะเปรอะเปื้อน
แต่สมองโลดแล่น คิดได้โปร่งใสเห็นจริง ได้กว่าผู้ใหญ่
จะต่างกับผู้ใหญ่ก็ตรงที่ว่า พวกเขาคิดแต่ไม่ค่อยพูด ส่วนเราท่านมักพูดโดยไม่ได้คิด
และใครจะไปรู้ สิ่งที่พ่อแม่กำลังพูดกำลังชี้แจงแทบเป็นแทบตายอยู่นั้น เป็นสิ่งที่พวกเขาคิด พวกเขารู้มาแล้วทั้งนั้น
แววตาไร้เดียงสาของพวกเขา บ่อยครั้งมองดูพฤติกรรมของผู้ใหญ่รอบตัว ส่อความฉงนเชิงตำหนิ
ไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันไม่ถูกต้อง ทำกันซ้ำซากอยู่นั่นแหละ
รู้อยู่มันผิด แต่ก็ยังจงใจทำอยู่เรื่อย
ทะเลาะกันอยู่ได้ แค่เรื่องเล็กน้อย ไร้สาระ
สั่งให้ทำนั่น อย่าทำนี่ แต่กลับทำกันหน้าตาเฉย
ห่วงกันนักเรื่องหน้าตา พอมีพออยู่ก็น่าจะพอแล้ว
มีอารมณ์ทีไรก็มาลงกับลูก ทำอย่างกับกระโถนท้องพระโรง
หมั่นเขี้ยวขึ้นมาก็เอาแต่กอดแต่จูบ พอเบื่อก็ทิ้งขว้าง ไม่คำนึงอารมณ์ลูกบ้างเลย
อยากเที่ยว อยากออกจากบ้าน ก็หิ้วไปไม่เคยไถ่ถาม...พูดเองเออเองเสร็จสรรพ...
คุณพ่อคุณแม่หลายคนไม่เคยมองแววตาลูก
ไม่เคยมองลึกเข้าไปข้างในว่าลูกกำลังคิดอะไรอยู่
ถึงเวลาก็กำชับว่ามีอะไรให้พูดให้บอก
แต่พูดแล้วกลับไม่ยอมฟัง...ไร้สาระ เด็กๆ จะรู้เรื่องอะไร
ก็เลยได้แต่สื่อด้วยสายตา ก็ยังไม่ยอมรับรู้อีก
เลยต้องเก็บความอึดอัดไว้เพียงคนเดียว...ในโลกใบน้อยๆ ของเขา
ใครที่รู้จักฟังเด็กจะได้ยินเสียงสวรรค์
เพราะสิ่งพูดที่กล่าวออกมา แม้จะสั้นๆ กระท่อนกระแท่น แต่สะท้อนเสียงแห่งความดี ความงดงาม ได้อย่างใสสะอาด
เนื่องจากจิตวิญญาณของเด็กยังไร้เดียงสา ปราศจากมายาและความปลอกปลิ้น
ยังคงเป็นสายตรงของพระเจ้า ผู้ทรงต้นกำเนิดชีวิต และความดี •