เรื่องของนักการเมืองกับการ "เล่น" การเมือง
          ไม่ต่างกับการเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี
          เกมเก้าอี้ดนตรีเด็กๆเขาเลิกฮิตกันมานานแล้วแต่นักการเมืองบ้านเรายังนิยมเล่นกันมาก...เล่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย
          ธรรมดาเวลาเล่นเกมนี้ ผู้เล่นจะรอจังหวะดนตรีหยุด           แล้วใช้ความรวดเร็วบวกไหวพริบแย่งนั่งเก้าอี้ที่มีจำนวนน้อยกว่าจำนวนผู้เล่นอยู่หนึ่ง
          ใครช้า นั่งเก้าอี้ไม่ทัน ก็ต้องออกจากเกมไป
          แต่เกมเก้าอี้ดนตรีที่นักการเมืองเล่นมีการประยุกต์ให้แตกต่างไปจากที่เล่นๆกัน
          นอกจากจะใช้ความเร็ว ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม เพื่อแย่งเก้าอี้นั่งแล้ว ยังมีการแย่งเก้าอี้ที่มีคนนั่งแล้วอีกด้วย
          กลยุทธ์การแย่งและการทำให้คนตกเก้าอี้มีทั้งชนิดชั้นเชิงแยบยลเหนือเซียน มีทั้งเล่ห์กลมนต์คาถาเพทุบาย           เชือดเฉือนได้อย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็น ทำกันทั้งในและนอกรัฐสภาอันทรงเกียรติ
          ต่างๆ เหล่านี้ เพียงเพราะเหตุเดียวคือ การบ้านการเมืองยังแยกกันไม่ออก
          ในอารยประเทศ นักการเมืองคือผู้อุทิศตนเพื่อแผ่นดิน หลังจากที่จัดแจงกับการบ้านเรียบร้อยเป็นฝั่งเป็นฝามั่นคงแล้ว
          อุดมการณ์ของเขาเหล่านี้คือการคืนผลประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติแก่ผืนแผ่นดินที่ได้รองรับและให้ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิตเขาแล้ว
          การบ้านกับการเมืองจึงแยกกันอย่างเห็นได้ชัด
          วันหนึ่งๆ จึงได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ประเทศชาติพัฒนา ประชาราษฎร์อยู่ดีมีสุข พรั่งพร้อมด้วยสวัสดิการชีวิต...
          แต่สำหรับนักการเมืองบ้านเราการบ้านการเมืองเป็นเรื่องเดียวกันแยกกันอย่างไรก็ไม่ออก
          เล่นการเมืองเพื่อการพัฒนาของการบ้าน เอาการบ้านเป็นตัวแปรชี้บอกแนวทางในการเล่นการเมือง
          ผลประโยชน์ของชาติจึงเคียงไหล่ไปกับผลประโยชน์นักการเมือง หรือบ่อยครั้ง มาหลังผลประโยชน์นักการเมืองเสียอีก
          นอกจากการบ้านจะพัวพันกับการเมืองแล้ว หลังบ้านยังเป็นตัวควบคุมนโยบายใกล้ชิด จนดูไม่ออกว่าใครเป็นคนเล่นการเมืองหน้าบ้านหรือหลังบ้าน

          ที่จริงแล้ว การบ้านการเมืองคงจะไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองเท่านั้น
          แต่มันเป็นเรื่องของเราท่านทุกคนด้วยเหมือนกัน
          เมื่อการบ้านเรียบร้อย  การเมืองก็พลอยดีไปด้วย
          แต่เมื่อไหร่การบ้านไม่ดีการเมืองก็พลอยเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
          เมื่อฉันมีสันติกับตนเองฉันก็อยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยความกลมเกลียวราบรื่น
          เมื่อในครอบครัวมีความรักใคร่ความมีมิตรไมตรีกับคนอื่นๆ รอบข้างก็ตามมา
          เมื่อในครอบครัวพ่อแม่มีความซื่อสัตย์ต่อกันลูกๆก็รู้จักรักเดียวใจเดียวยามแยกออกมาตั้งครอบครัวใหม่
          เมื่อในครอบครัวมีมารยาทดีงามการปฏิบัติต่อผู้อื่นก็พลอยงดงามน่ารักมีสกุล
          เมื่อในครอบครัวมีบรรยากาศแห่งความศรัทธาเลื่อมใสในศาสนาการติดต่อกับผู้อื่นก็จะมีมิติศาสนาไปปรุงแต่งให้ดีงามสูงส่ง
          เมื่อในครอบครัวมีการอบรมบ่มนิสัยลูกๆก็เป็นพลเมืองดีสร้างประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง
          เมื่อในครอบครัวมีการปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริตคนคดโกงกินบ้านกินเมืองก็จะน้อยลง

          มองกันแง่นี้แล้ว ก็น่าจะทุ่มเททำการบ้านให้ดีก่อนแล้วจึงค่อยเล่นการเมืองไม่ว่าระดับใด.

 



-TOP-