
ร้านสุกี้วันนั้นพลุกพล่าน
แค่เดินผ่านประตูเข้ามา ก็ต้องได้ยินเสียงเรียกขานแจ้วเจื้อยของพนักงานที่ใช้วิทยุติดต่อส่งแขกไปตามชั้นและแผนกที่ยังมีว่าง
ไอน้ำซุปที่หอมกรุ่นพวยพุ่งขึ้นเป็นทางจากโต๊ะสั้นยาวที่จัดเรียงรายไว้เต็มห้องอย่างหวงแหนเนื้อที่ทุกตารางชวนให้น้ำลายสออย่างช่วยไม่ได้
ผัก เนื้อ ไก่ ปลา หอย ลูกชิ้น ฯลฯ ถูกลำเลียงไปตามโต๊ะต่างๆที่มีผู้บริโภคทีท่ากำลังเจริญอาหารอย่างไม่ขาดสาย
เสียงพูดคุยหัวเราะหยอกเย้าบ่งบอกบรรยากาศครอบครัวเพื่อนฝูงที่นัดกันมาแก้หิวไปสนุกสนานกันไป
แต่พอฝาหม้อซุปไฟฟ้าที่ต่อสายยาวมาจากใต้โต๊ะถูกเปิดออก กลิ่นหอมอร่อยของน้ำซุปก็ทำให้ผู้นั่งโต๊ะลืมทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง หันมาจดจ่ออยู่กับโลกแห่งโภชนาการใบน้อยๆที่อยู่ต่อหน้าต่อตา
ช้อน ตะเกียบ ตะแกรงลวกของ ถูกสลับใช้ตามบทบาทของมันด้วยความคล่องแคล่วและชำนาญราวกับเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง
ดูเป็นความสุขที่ซื้อหากันได้ด้วยสนนราคาไม่แพงนักของคนกรุงผู้มีอันจะกินนอกบ้าน
กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศและรสชาติของอาหารอยู่นั้น พลันสายตาผมเหลือบไปเห็นภาพน่าประทับใจจากโต๊ะข้างๆ
โต๊ะถูกต่อกันยาวเพื่อรองรับจำนวนคนที่มาด้วยกันแบบครอบครัวคนจีน ตั้งแต่เด็กเล็กเด็กแดงไปจนถึงอาก๋งอาม่า
ขณะที่ทุกคนกำลังง่วนกับการลวกและการกินของชอบ ก๋งกลับสนใจกับหลานตัวน้อยๆวัยยังไม่ครบขวบ
อุ้มไปดูหลอดไฟติดที่ฝาห้องที เดินไปดูรถราที่หน้าต่างที เหมือนคนเห่อหลาน
ปากก็คุยจ้อ อธิบายนั่นชี้นี่ อย่างกับผู้ใหญ่คุยกันไม่ผิด
บทรู้สึกเสน่หาขึ้นมา ก็จะยกหน้าหลานขึ้นมาเกือบชิดหน้า จับจ้องมองหน้าและยิ้มให้หลานด้วยความรักความเอ็นดูเป็นนานสองนาน
มันเป็นภาพชีวิตที่งดงามมากภาพหนึ่งที่ผมเห็นมา
ชีวิตหนึ่งที่กำลังจะจบลงและชีวิตหนึ่งที่กำลังจะเริ่มต้น
ริ้วรอยแห่งวันเวลาที่ปรากฎอยู่บนใบหน้ากร้านด้วยการต่อสู้และระเกะระกะด้วยหนวดเคราขึ้นโหรงเหรงตามลักษณะบุรุษจีนอาวุโสนั้น ขัดกับความงดงามอ่อนเยาว์ของใบหน้าหลานราวกับวันและคืน
แต่ก็ช่วยเน้นกันและกันได้อย่างกลมกลืน วัยแก่เน้นความเป็นเด็ก วัยเด็กเน้นความอาวุโส
แล้วนั้นรอยยิ้มจริงใจและเอ็นดูรักใคร่บนใบหน้าของก๋งค่อยๆจุดรอยยิ้มบนใบหน้าน้อยๆ ของหลาน
ก๋งสุขใจเมื่อเห็นหลานยิ้มให้ หลานมั่นใจด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้อบอุ่นใจของก๋ง
ชีวิตที่ถ่ายทอดชีวิต ชนชั่วอายุหนึ่งถ่ายทอดไปสู่ชนอีกชั่วอายุหนึ่ง อย่างไม่จบสิ้น
ผมนั่งมองอยู่นาน อดรู้สึกดีใจแทนเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูคนนั้นไม่ได้
ตั้งแต่ที่ลืมตามาดูโลกเป็นครั้งแรก หากพบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จริงใจ รักใคร่ ทะนุถนอมอย่างนี้ ชีวิตคงจะเติบโตสมบูรณ์เบิกบาน ดุจต้นไม้ได้น้ำได้แสงแดด
แต่จะมีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ที่ทำเช่นนี้กับชีวิตน้อยๆที่ผูกพันด้วยสายเลือดทุกคนหรือเปล่า
จะมีผู้ใหญ่กี่คนที่สำนึกว่า ตนกำลังส่งต่อชีวิตให้แก่เด็กๆพร้อมกับทุกสิ่งที่ตนเป็นทุกอย่างที่ตนก่อขึ้นมา
เพราะถ้ามีความสำนึกกันบ้าง ก็คงไม่ส่งโลกที่พวกเขาทำไว้ยุ่งเหยิง สับสน วุ่นวาย ให้แก่เด็กๆต้องมารับกรรมต่ออย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
คงจะมีน้อยคนที่กล้าทำแบบ บราเดอร์โรเจอร์ แห่งเทเซ่ ที่กล้าคุกเข่าลงต่อหน้าเยาวชนและกล่าวด้วยความสำนึกว่า
เยาวชนที่รัก ฉันในนามของผู้ใหญ่ทุกคน ต้องขอโทษพวกเธอที่เราได้ทำให้โลกใบนี้วุ่นวายชั่วร้ายด้วยการกระทำของเราแล้วส่งต่อให้พวกเธอ
หากมีความสำนึกกันเช่นนี้บ้าง พ่อแม่หลายคนคงต้องขอโทษลูก ครูคงต้องขอโทษศิษย์ ผู้ใหญ่คงต้องขอโทษเด็กผู้บริหารประเทศคงต้องขอโทษหนุ่มสาวรุ่นใหม่...ด้วยจริงใจ
เพราะแทนที่จะส่งรอยยิ้มให้ กลับส่งความรุนแรง ความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว ความมักมาก ความไม่รู้พอ ความอยุติธรรม...จนชีวิตต้องหดหู่ชวนให้หวาดกลัวอย่างที่เห็นๆ
ภาพอย่างก๋งกับหลานน่าจะมีให้เห็นทั่วไปหมด และไม่เพียงแค่ในร้านสุกี้วันนั้นเท่านั้นนะผมว่า •