ฟังรายการวิทยุวันนั้นแล้วต้องคิดหนัก
ก็เป็นหนึ่งในหลายสถานีที่รายงานจารจร ของหาย อุบัติเหตุ…
ตั้งแต่ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น
ปัญหาจารจรก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ทางรายการจึงเน้นการพูดคุยปัญหารายวัน
…การเมือง เศรษฐกิจ กีฬา ยาเสพย์ติด ฯลฯ
พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้ามาพูดคุย
ออกความเห็น แสดงมุมมอง
แทรกด้วยรายงานข่าวต้นชั่วโมง…และของหาย
"ผมขอแจ้งเด็กหายครับ…"
เสียงผู้ชายวัยผู้ใหญ่ต้นๆขอความช่วยเหลือ
"เด็กหายไปตั้งแต่เมื่อไรคะ…"
เสียงผู้จัดรายการบ่งบอกความเป็นห่วง
"เมื่อวานนี้ครับ" เสียงผู้แจ้งยังคงเรียบเฉย
"ตอนกี่โมงคะ…" น้ำเสียงผู้รับแจ้งบอกถึงความร้อนใจ
"ไม่ทราบแน่นอน คงจะตอนบ่ายๆ"
"เด็กชายหรือเด็กหญิงคะ"
"เด็กชายครับ"
"เด็กรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรคะ"
"ผิวดำแดง ผอมๆ…"
"อายุกี่ขวบคะ"
"ประมาณหกเจ็ดขวบ"
"เด็กสูงเท่าไรคะ"
"ประมาณร้อยสี่สิบหรือห้าสิบ…ไม่แน่ใจ อาจจะร้อยหกสิบก็ได้"
"แล้วน้ำหนักตัวล่ะคะ"
"ไม่ทราบ น่าจะประมาณสามสิบหรือสามสิบห้าอย่างมาก"
"คุณเป็นอะไรกับเด็กคะ" แทรกด้วยเสียงถอนใจ
"ผมเป็นพ่อเด็กครับ"…
หนักแน่น แม้เรียบเฉยเสมอต้นเสมอปลาย
ผมไม่ได้ฟังต่อว่าเรื่องราวลงเอยอย่างไร
เพราะรู้สึกเหนื่อยใจในความแตกต่าง
ของน้ำเสียง…คนเป็นพ่อกับคนจัดรายการ
แม้จะเพิ่งมีการแจ้งหาย
แต่ให้รู้สึกว่าเด็กคนนี้คงหายไปนานแล้ว
หายไปจากความรักความเอาใจใส่ของผู้เป็นพ่อ
เห็นได้ชัดจากข้อมูลที่พ่อรู้เกี่ยวกับตัวลูก…ไม่ต้องพูดถึงน้ำเสียง
ฟังแล้วดูห่างเหิน…ชวนให้หว้าเหว่ใจ
มันอาจจะเป็นผลพวงมาจากวิถีชีวิตทุกวันนี้ก็ได้
พ่อแม่อยู่ใกล้ตัวลูก แต่ใจและความสนใจนั้นเหินห่าง
มีเรื่องต้องให้คิดมากมาย เลี้ยงดูนุ่งห่มให้ลูกมีเงินใช้ก็บุญแล้ว
ต้องการอะไรนอกเหนือไปจากนี้ก็มีปากพูดปากบอก
ถ้าไม่ว่าไม่บ่น ทุกอย่างก็น่าจะโอเคแล้ว
เผลอๆมีลูกแค่คนสองคนยังเรียกชื่อไม่ถูก
จะเรียกใครที ต้องออกชื่อทุกคน…เรียงตามลำดับ
ช่างต่างกับที่พระเยซูเจ้าทรงกล่าวไว้
"พระบิดาเจ้าทรงทราบ
แม้จำนวนเส้นผมที่มีอยู่บนหัวของลูกแต่ละคน"

ฟังแล้วให้รู้สึกอบอุ่น มั่นใจ ภาคภูมิ มีสุข
แม้จะไม่รู้ในรายละเอียดขนาดนั้น
แต่ข้อมูลเกี่ยวกับลูกที่สามารถรู้ได้ พ่อแม่น่าจะรู้ดี
แม้ไม่รู้ได้ทุกอย่าง
แต่สุขทุกข์ของลูก พ่อแม่ต้องรู้โดยไม่ต้องให้พูดให้บอก
พูดง่ายๆ เพียงแค่รักและเอาใจใส่ลูกให้มากกว่านี้
พ่อแม่ก็จะรู้ทุกอย่าง…แบบรู้ "แก้วตา" พ่อแม่นั่นแหละ •

 

 

 

 



-TOP-