มีแต่คนที่เคยปวดฟันเท่านั้นที่รู้ว่าปวดฟันนั้นทรมานแค่ไหน
          ก็ทรมานจนผมทนไม่ไหวนั่นแหละ
          "ฟันเป็นอะไรคะ?"หมอฟันวัยกลางคนถามขณะเปิดไฟจ้าฉายหน้าผมอย่างจัง
          "อ้าปากกว้างๆด้วยคะ" หมอฟันสั่งโดยไม่รอฟังคำตอบของผมเวลาเดียวกันก็แหย่เครื่องมือสองชิ้นเข้าปากและเริ่มสำรวจฟันด้วยความเชี่ยวชาญ
          "ซี่นี้ปวดหรือเปล่าคะ"   คุณหมอถามขณะที่ใช้ด้ามเครื่องมือโลหะเคาะฟันแรงๆอย่างไม่คิดจะเกรงใจเจ้าของฟันที่นอนเกร็งด้วยความเสียวอยู่ แม้แต่น้อยนิด
         "ปวดหรือเปล่าคะ?"  คุณหมอถามอีก เสียงดังกว่าเก่า แต่มือก็ยังคงง้างปากให้อ้ากว้างอยู่อย่างนั้น
          "อัก...อัก..." ผมพยายามจะพูดตอบ บอกว่าไม่ปวดแต่ก็พูดได้แค่นั้น
          ก็คุณหมอไม่ยอมให้หุบปากและห่อลิ้น พูดออกมาเป็นประสาคนเลยนี่
          "ปวดหรือเปล่าคะซี่นี้น่ะ?" คุณหมอถาม  พลางละสายตาจากปากจ้องตาผม
          มันก็เหลืออยู่วิธีเดียวที่จะสื่อสารในสถานการณ์เช่นนี้...สั่นหัว
          คุณหมอเคาะฟันซี่ต่อไป พร้อมกับคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมาและผมก็ตอบของผมด้วยวิธีเดิม ถ้าปวดก็พยายามพยักหน้า...พยายาม เพราะมือคุณหมอกดปากอยู่อย่างนั้น ขยับเขยื้อนหัวทีแสนจะยากเย็น
          แต่แล้วก็ต้องเจอปัญหาอีกครั้ง เมื่อคุณหมอหยุดที่ฟันซี่ปวด แล้วถาม
          "ปวดนิดหน่อยหรือปวดมากคะ?"
          "อ๊าก..." ผมตอบเป็นภาษาต่างดาวได้แค่นั้น เพื่อบอกคุณหมอว่า  ?มาก?
          "ปวดที่เปลือกฟันหรือที่รากคะ?" คุณหมอถามต่อราวกับเข้าใจภาษาที่ผมพยายามสื่อออกมาดีเหลือเกิน
          คนไข้ที่มา ทุกคนคงจะต้องใช้ภาษาต่างดาวที่ผมกำลังใช้อยู่แน่ ลองต้องพยายามพูดในขณะที่อ้าปากกว้าง แถมเครื่องมือสองชิ้นขวางลิ้นอยู่อย่างนี้
          ไม่ต้องพูดถึงน้ำลายที่ลงไปจุกอยู่ที่คอ กลืนลงไปเท่าไรก็ไม่สำเร็จซะที
          "ซี่นี้เคยอุดมาแล้ว" คุณหมอพูดต่อ หลังจากใช้เครื่องมือปลายแหลมขูด สะกิด แคะฟันซี่นั้นอยู่พักใหญ่ "ตอนนี้ท่าทางเสื่อมเสียแล้ว  คงจะอุดไม่ค่อยดี"
          ผมไม่มีความคิดเห็น คงนอนอ้าปากฟังอย่างอยากจะหุบปากลงพักเหลือเกิน
          "อุดที่ไหนมาคะ?" คุณหมอถามต่อ คล้ายอยากจะรู้ประวัติความเป็นมาของฟันซี่นี้อย่างละเอียดลออเสียนี่กระไร
          แต่ก็ไม่ยอมชักเครื่องมือออกจากปาก และให้ผมมีโอกาสพูดชี้แจงบ้างเลย
          จนผมต้องจนใจ เพราะคำว่า "กรุงเทพฯ" ไม่รู้จะพูดออกมายังไง จะสั่นหัวหรือพยักหน้าแบบไหน...ใจก็นึกเสียดายที่ไม่ไดเรียนรู้ภาษาใบ้มาก่อน ผมก็เลยนอนอ้าปากเฉยอยู่อย่างนั้น จนคุณหมอฉุกคิดขึ้นมาได้และดึงเครื่องมือออกจากปากพร้อมกับสั่งให้ผมบ้วนปาก
          ผมไม่เคยอยากพูดหรือยินดีที่ได้พูด มากเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
          พอบ้วนน้ำเสร็จ ผมรีบพูด พูด พูด...บอกคุณหมอว่าฟันซี่นี้เจ็บเมื่อไร เคยไปอุดที่ไหนบ้าง ตอนนี้มันเจ็บแค่ไหน และอยากจะให้คุณหมอช่วยทำอะไรบ้าง...จนคุณหมอไม่มีช่องว่างจะพูดแทรกเลย
          ก็มันอัดอั้นมาตั้งแต่เริ่มอ้าปากให้คุณหมอตรวจฟัน เพราะคำถามแบบถามฝ่ายเดียวของคุณหมอชนิดไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตอบเลยนี่แหละ
       
          แต่คิดดูอีกที ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องเจอกับความอึดอัดเช่นนี้หรอก
       มีอีกหลายคน ที่ต้องอึดอัด เก็บกดอัดอั้น...ไม่ใช่เมื่อไปหาหมอฟันเท่านั้น
          ภรรยาหลายคน ไม่มีปากมีเสียง เพราะสามีเอาแต่ความคิดเห็นของตัวเป็นใหญ่
          ...ในบ้านนี้ฉันเป็นใหญ่เพราะฉันเป็นคนหารายได้เข้าบ้านคนเดียวฉันว่าคำไหนต้องเป็นคำนั้น
          ...เมียคือช้างเท้าหลังมีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้และเลี้ยงลูก
          สามีหลายคน ไม่มีโอกาสพูด เพราะภรรยาเอาแต่ใจใส่อารมณ์ด่ากราด
          ...พูดด้วยเหตุด้วยผลไม่รู้เรื่องก็เงียบเสียดีกว่า
          ...มีแต่บ่นร่ำไรอย่างไม่รู้จบชวนให้รำคาญไปต่อปากต่อคำก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่
          ลูกหลายคน  ไม่มีโอกาสได้พูดกับพ่อแม่
          ...พ่อแม่ไม่มีเวลาให้เลยไม่รู้จะไปพูดกับใคร
          ...พ่อแม่ไม่ยอมรับฟังถือว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีโดยไม่คำนึงสักนิดว่ากาลเวลามันเปลี่ยนแปลงไป
          พ่อแม่หลายคน  ไม่มีโอกาสพูดกับลูก
          ...ลูกถือว่าพ่อแม่ไม่รู้เรื่องอะไรเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีพูดไปก็ไร้ประโยชน์
          ...ลูกอ้างช่องว่างระหว่างวัยมันกว้างเสียจนกู่กันไม่ได้ยิน
          แล้วก็ลงเอยด้วยการพูดอยู่แค่ฝ่ายเดียว และไม่เคยเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งได้พูด ได้ออกความคิดเห็น ได้ชี้แจง ได้ระบายบ้าง
          ของผมมันอึดอัดใจก็แค่ช่วงนอนอ้าปากอยู่ในคลีนิคหมอฟัน ออกจากคลีนิคก็หมดปัญหา
          แต่คนอื่นๆนี่สิ ต้องอึดอัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันและไม่มีทางออกเลยทั้งชีวิต
          นี่คงจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่คลีนิคจิตแพทย์บูมขึ้นมายังกับดอกเห็ด 

 



-TOP-