สังคมทุกวันนี้มีชื่อหลากหลาย
       ขึ้นอยู่กับแง่มุมมองและการวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในสังคมนั้นๆ
       สังคมบริโภคนิยม สังคมวัตถุนิยม สังคมปัจเจกนิยม สังคมสนุกนิยม…
       แต่ชื่อหนึ่งที่ยังไม่ค่อยจะมีการพูดถึงนัก
       ทั้งๆ ที่โดยพฤตินัยแล้วเป็นกันมาก
       นั่นคือสังคม “ take for granted”
       เป็นพฤติกรรมที่ครอบคลุมไปแทบทุกด้าน
       ทุกระดับ ทุกฐานะ ทุกมิติ…ก็ว่าได้
       เริ่มจาก take for granted กับชีวิต
       ไหนๆ ก็เกิดมาแล้ว ไม่ได้เลือกจะเกิด…คงไม่ต้องรับผิดชอบมันให้มากนัก
       เออ…ถ้าเลือกมาเกิดเอง ก็น่าจะต้องคิดให้หนัก
       ว่าแล้วก็เล่นกับชีวิตอย่างไม่คิดจะเสียดาย
       ทั้งใช้ ทั้งปล่อยปละละเลย ทั้งทำลาย…จนแทบไร้ค่า
       แม้หลักหลักศีลธรรมก็ถือว่าไม่ได้ตั้งขึ้นเอง
       จะมาบังคับ ชี้แนวทางให้ทำ มันคงต้องขึ้นอยู่กับใจว่าจะเล่นด้วยหรือไม่
       ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของตัวเองอีกนั่นแหละ
       ทำดีก็ได้ดีไป  ทำชั่วก็เกิดชั่วกับตัว…
       ขึ้นอยู่ว่าจะรักดีรักชั่ว จะหามจั่วหามเสา
       อย่าทำให้ใครต้องเดือดร้อนด้วย เป็นใช้ได้
       ส่วนเป้าหมายของชีวิตนั้น คงจะเป็นเรื่องวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง นาทีต่อนาที
       จะตั้งให้ไกลเกินตัว ก็จะพลอยให้หมดสุข…เดี๋ยวนี้
       แถมยังไม่แน่จะมีชีวิตหลังความตายหรือไม่มี
       ที่แน่ๆ คือมีชีวิตนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้…จับต้องได้
       ไม่ต้องเสียเวลาคาดคะเน สร้างจินตนาการ
         แล้ว take for granted กับคนรอบข้าง
       ถือว่า “เงิน” คือตัวเชื่อมคนเข้าด้วยกัน
       ประโยชน์ที่เอื้อต่อกันจะมากจะน้อย ก็เป็นเรื่องของจำนวนเงินที่ใช้
       ได้ประโยชน์มา ได้เงินไป…ถือว่าแฟร์กันดี
       ที่จะอ้างบุญอ้างคุณ ก็ดูจะเกินเถิด
       บุญคุณต้องชดใช้ด้วยบุญคุณ
       เงินก็ชดใช้ด้วยเงิน…เช่นกัน
       เมื่อมองแค่ความเป็นธรรม ก็ไม่มีอะไรมาก ไม่มีอะไรน้อย
       ในขณะที่บุญคุณไม่มีขีดจำกัด…หนี้ใจใช้กันเท่าไรไม่มีวันสิ้นสุด
       คนจึงมองคนแค่ประโยชน์ที่ได้หรือเสีย…มากกว่าน้ำใจอันพึงมีต่อกัน
       คนจึงมองแค่สิ่งที่ได้ แต่ไม่เคยเลยไปถึงเบื้องหลังของการได้มา

       พันธะทางใจจึงไม่เคยต้องมีกับใคร…แต่อย่างใด
        แล้วก็ take for granted แม้ในชีวิตครอบครัว
       ทุกสิ่งที่สามีทำ ทุกอย่างที่ภรรยาทุ่มเท…ก็เป็นแค่สิ่งที่ควรต้องทำ          
       การทำงานเพื่อนำเงินเข้าบ้าน ก็เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านอยู่แล้ว
       การทำให้บ้านน่าอยู่ ลูกๆได้รับการเลี้ยงดู อาหารร้อนแต่ละมื้อ ก็เป็นหน้าที่ของแม่บ้าน
       แม้แต่ความสุขลึกซึ้งระหว่างสามีภรรยาก็ถือเป็นหน้าที่ของความเป็นผัวเป็นเมีย
       ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
       ได้แล้วก็แล้วกันไป…ตามที่ควรจะได้
       จะเอ่ยถึงบุญถึงคุณมันให้รู้สึกนอกที่ ชวนให้กระดาก
        พ่อแม่จึง take for granted กับลูกๆ
       แค่ให้ลูกมีอาหาร เสื้อผ้า เงินทอง โอกาสการศึกษา…ก็ถือว่าเป็นหน้าอันสมบูรณ์ของพ่อแม่แล้ว 
       ไม่น่าจะมีอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้…
       ความผูกพัน ความใกล้ชิด เวลาที่จะให้…
       ดูจะเป็นส่วนเกิน ให้ได้ก็ดี ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร
       มองแค่นี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า สังคมนี้ควรจะชื่ออะไร •                          

               

 



-TOP-