ลูก take for granted กับพ่อแม่
          แล้วก็ถือว่า พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูและให้ทุกอย่าง…
          ก็พ่อแม่เองทำให้ลูกเกิดมา…ไม่ได้อยากหรือขอมาเกิด
          ทำให้เกิดมาแล้วก็มีหน้าที่…เลี้ยงดู ให้การศึกษา ให้เงินใช้จ่าย…
          สิ่งพ่อแม่ให้ถือว่าเป็นหน้าที่
         
สิ่งที่พ่อแม่ไม่ให้ ถือว่าบกพร่องในหน้าที่
            
ไม่ให้รู้สึกว่าต้องมีหนี้บุญคุณต่อกัน
          ลูกหลายคนยังทำเหมือนกับว่าพ่อแม่ต่างหากที่เป็นหนี้บุญคุณลูก
          มีลูกให้ชื่นชม…ได้อุ้มได้เล่นได้หอมแก้ม
          มีลูกให้ไม่เหงา…มีเสียงร้องเสียงหัวเราะเสียงเอะอะ
          มีลูกไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว…ไปไหนก็พาไปด้วยมีเพื่อนเล่น
          มีลูกเพื่อให้รู้สึกมีความภาคภูมิใจได้เป็นพ่อคนแม่คน…

          มีลูกไว้ให้ความมั่นใจในยามแก่เฒ่า…มีคนเลี้ยงดู ได้ฝากผีฝากไข้
          เพื่อน take for granted กับเพื่อน
          ถ้าไม่มีฉัน คุณคงไร้เพื่อน
          เพื่อนแทนที่จะเป็นของขวัญให้กันกลายเป็นเงื่อนไขต่อกัน
          ยามเพื่อนช่วยเพื่อนก็เป็นแค่หน้าที่แห่งการเป็นเพื่อน

         
ยามเพื่อนมีน้ำใจต่อเพื่อน ก็ถือเป็นธรรมชาติของความเป็นเพื่อน

          ยามเพื่อนเสียสละเพื่อเพื่อนก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว
          คน take for granted คนด้วยกัน
          เมื่อมีผลประโยชน์และเงินเป็นตัวแปร ทุกอย่างก็จบอยู่แค่นั้น
          ลงจากรถโดยสาร เรือจ้าง รถไฟ เครื่องบิน…ก็จบกันแค่นั้น
          ความสะดวกและความปลอดภัยที่ได้มา ก็จ๊าวกันไปกับเงินค่าโดยสารที่จ่าย
          ถ้าจะมีอะไรต้องพูดต้องต่อเนื่อง ก็คงเป็นเรื่องการบ่น การตัดพ้อต่อทำนองว่า…
          จ่ายเงินไปเท่านี้ ไม่คุ้มค่าอย่างที่ควรได้…
          ซื้อจับจ่ายสิ่งของ ก็เช่นเดียวกัน
          ธุรกิจคือสิ่งที่พึงให้เพื่อจะได้มาซึ่งสิ่งที่พึงได้
          เมื่อคุ้มค่ากับราคาค่างวด ก็จบกันแค่นั้น…ไม่มีอะไรต่อกัน
          จะคิดมากก็ตรงที่หวาดระแวงว่าคนขายจะเอาเปรียบ
          เพราะนั่นคือวิถีของคนซื้อ…ตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนว่าจะถูกโกง โก่งราคาค่างวด
          เลยต้องหาทางต่อรองดึงราคาลงมาให้ต่ำสุด…จนคนขายสะดุ้ง
          คล้ายกับใจคอจะไม่ยอมให้คนขายได้กำไรเพื่อไปต่อทุนบ้างเลย
          เลยมองแค่ราคาของตัวสินค้า โดยไม่คำนึงไปถึงที่มาที่ไป
          …เวลาที่ต้องไปกว้านหาสินค้าราคาน้ำมันรถที่ต้องใช้ไปความเหน็ดเหนื่อยที่จะต้องสรรหา…
          ข้าวเปลือกก็คำนึงกันแค่น้ำหนัก ขนาดเม็ด ความชื้น…แล้วก็ให้ราคากันแค่นั้น
          ไม่เคยมองย้อนไปถึงตอนหลังสู้ฟ้าหน้ามองดินการทดน้ำให้พอเหมาะการป้องกันโรคป้องกันแมลงหรือแม้กระทั่งปูนาที่ดูไร้พิษไร้ภัย…
          ไม่เคยเห็นหลังที่โก้งโค้งมือถือเคียวเกี่ยวข้าวทีละกำทีละกำ…ตากแดดตากลม
          ไม่คิดถึงตอนนวดข้าว  ลำบากเตรียมข้าวมีทีละกำพอเหมาะแล้วฟาด ฟาด ฟาด…ให้เม็ดหลุด ทีละเม็ด
          ที่สุดก็ take for granted กับพระเจ้า
          ถือว่าพระองค์ต้องใจดีมีเมตตา จะทำอะไรพระองค์ก็คงเข้าใจและให้อภัยอย่างไม่ต้องสงสัย
          จะสวดขออะไรพระองค์ก็ต้องให้อยู่แล้ว เพราะทรงเอ็นดูปราณี
          หลายครั้งหลายคราก็ไม่ต้องขอบคุณ เพราะไม่ได้สวดขอ
          เออ…ถ้าสวดขอแล้วได้ก็ยังพอจะขอบอกขอบใจกันบ้าง
          แต่นี่ไม่ได้ขอด้วยซ้ำ ก็ยังไม่เห็นต้องขัดสนอะไร
          ก็เลยไม่เคยมีคำว่า “ขอขอบคุณพระเป็นเจ้า”
          และนี่คือหลายอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่าคนทุกวันนี้รู้จักคำว่าบุญคุณน้อยลงไปเรื่อยๆ
          ก็มองทุกอย่างจากมุมมอง take for granted นั่นเอง •

                

               

 



-TOP-