ทานอาหารนอกบ้านกันทีก็น่าจะเลือกให้อร่อยลิ้น
       ยิ่งทุกวันนี้ ร้านอาหารมีให้เลือกมากมาย…จนเลือกไม่ถูก
       ละแต่ละร้านก็มีอาหารจานเด็ดเป็นจุดขาย  ไม่ซ้ำแบบร้านใด
       บางแห่งก็อุตสาห์ค้นคิดจานเด็ด ชนิดที่นี่แห่งเดียวในโลก
       แถมยังตั้งชื่ออาหารไว้ให้แปลกแยกจากร้านอื่น เหมือนจะตีตัวแตกต่างให้โดดเด่น
       พูดได้ว่า ทุกวันนี้ แม้แต่ร้านอาหารก็เถอะ  ใครดีใครอยู่
       หรือไม่ก็ต้องปิดตัว หรือเปลี่ยนมือไป อย่างช่วยไม่ได้
       นักกินบ้านเราก็แสนจะสรรหา…อร่อยที่ไหนเป็นต้องด้นดั้นไปชิมให้ได้
       บังเอิญไปพบเข้าบ้าง เพื่อนบอกต่อบ้าง…
       แต่ที่แน่ๆ มี นักชิมอาชีพ ที่เที่ยวชิมเที่ยวกินไปทั่ว…แล้วก็มาแนะนำให้รู้เป็นเรื่องเป็นราว
       คนอื่นเขากินทีไรเป็นต้องเสียเงินทุกทีไปแต่คนประเภทนี้ยิ่งกินยิ่งได้เงิน
       เรียกว่ากินเป็นอาชีพอย่างนั้นเถอะ
       พอนักกินไปลิ้มไปชิมอาหารจานเด็ดได้ ก็ถือเป็นลาภปาก
       กินไปวิพากษ์วิจารณ์ไป เหมือนคนไม่มีเรื่องอื่นจะคุย
       กินเสร็จก็จ่ายเงินไป ใจก็ให้รู้สึกคุ้มค่า
       ไม่เหมือนนักกินบ้านอื่น
       พอไปกินอาหารอร่อยที่ร้านไหนมักจะคิดถึงคนครัว
       บ้างก็จะฝากคำชมไปกับคนเสิร์ฟบ้างก็ให้คนไปตามคนครัวมาพบมาคุยชมชื่น
       บางแห่งก็เห็นคนครัวออกมานั่งดื่มแก้วสองแก้วกับลูกค้า
       บางแห่งก็เห็นคนครัวออกมาไถ่ถามลูกค้าเรื่องรสชาติอาหารก็มีให้เห็น
       เบื้องหลังทุกอย่างเหล่านี้ มีวัฒนธรรมที่แฝงอยู่
       บ้านเราถือว่า กินอาหารอร่อย จ่ายเงิน จ่ายค่าทิปแล้วถือว่าสิ้นแล้วต่อกัน
       ว่าไปตามความยุติธรรมแง่ธุรกิจ…ให้บริการ จ่ายค่าบริการ…ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
       ไม่เหมือนบ้านเมืองอื่นที่มองเลยไปถึงจิตใจคนที่อยู่เบื้องหลัง
       ทุกการบริการที่ได้รับ นอกจากจะเป็นหนี้เงินแล้ว ยังเป็นหนี้ใจด้วย
       แค่การพิถีพิถันปรุงแต่งอาหารให้อร่อย ดูแลให้สะอาดน่ากิน        เลือกของสดๆ…ก็เป็นอะไรที่มากกว่าการบริการอย่างเดียวแล้ว
       มันเป็นการบริการด้วย "ใจ" ซึ่งควรต้องได้รับความชื่นชอบชื่นชมด้วยเหมือนกัน
       หากมองจากแง่นี้แล้ว ทุกเรื่องก็เข้าทำนองเดียวกัน
       คนเรามักจะมองแค่การกระทำและไม่เคยมองถึงจิตใจที่อยู่เบื้องหลัง
       คำว่า "ขอบคุณ" จึงมีให้พูดน้อยลงไปเรื่อยๆ
       ส่วนมากมักจะถือว่าถ้าต้องจ่ายเงินก็เป็นสิทธิไม่ต้องไปขอบอกขอบใจใคร
       จ่ายเงินครบตามที่ตกลงไว้ก็ถือเป็นอันสิ้นสุด
       อีกไม่น้อยก็ถือว่าการจ่ายเงินก็คือการขอบคุณนั่นเอง
       หารู้ไม่ว่า ระหว่าง "การจ่าย" กับ "การขอบคุณ" มันมีความรู้สึกดีๆที่เป็นตัวแปรอยู่
       ดังนั้น แม้จะจ่ายค่าบริการไปแล้ว ก็ยังน่าจะมีคำขอบคุณให้
       เพราะหากผู้ให้บริการไม่อยู่ตรงนั้น การบริการก็ไม่เกิดขึ้น แม้จะมีเงินมากมาย
       มีเงินซื้อผลไม้แต่หากไม่มีคนปลูกคนเก็บคนขนคนขาย       …เงินก็ไม่อาจจะบันดาลให้มีผลไม้ขึ้นมาได้
       มีเงินจะเดินทางแต่หากไม่มีพนักงานขับรถก็เดินทางไม่ได้เหมือนกัน
       มีเงินจะซื้ออาหารแต่ไม่มีคนซื้อกับข้าวคนทำความสะอาดคนปรุงก็ไม่มีอะไรจะยาท้องได้แน่นอน
       เงินจึงมีไว้เพื่อซื้อของ แต่คำขอบคุณมีไว้เพื่อซื้อใจ
       เมื่อมีใจ การบริการก็ดีขึ้น การปรุงแต่งอาหารก็อร่อยขึ้น…
       แค่คำขอบคุณด้วยจริงใจ ก็สามารถทำให้คนที่ต้องให้บริการอย่างจำเจ มีความสุขความยินดีกับการให้บริการได้เหมือนกัน
       เพราะทำให้เกิดความรู้สึกว่า ผู้ที่มาใช้บริการไม่มองแค่บริการที่ได้รับ แต่มองถึง "คน" ที่ให้บริการด้วย
       สังคมอยู่ได้ด้วยดี ไม่ใช่เพราะธุรกิจ แต่เพราะใจที่มีต่อกัน
       วัฒนธรรมเช่นนี้ ควรต้องปลูกฝังกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กเลยทีเดียว •

 

 



-TOP-