
หากไม่คิดจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์
การพัฒนาปัจจุบันก็ไร้ทิศทาง
ความหวังในอนาคตก็ยากจะสดใส
ปัญหาก็จะซ้ำซากไปมา
จะเปลี่ยนก็คนที่ผลัดกันเข้ามาเกี่ยวข้อง
ความผิดเดิมๆ ก็มีให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า
จะต่างก็แค่รูปแบบแค่ความหนักเบาแค่วันเวลา
กลายเป็นวิกฤติให้ต้องแบกรับส่งทอดกันไปไม่รู้จบ
ตราบใดที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนให้เป็นโอกาส
อย่างการบ้านเมืองที่เห็นๆกันอยู่ขณะนี้
เปลี่ยนเป็นโอกาสเพื่อสร้าง รูปแบบการเมืองใหม่
ที่คนดีมีความสามารถเข้ามามีบทบาท
โดยไม่ต้องกลัวจะเปลืองตัว
เพราะเป็นการเมืองที่เล่นกันตามกติกาอิงหลักจรรยาบรรณ
ยึดความดีของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
แข่งขันกันทำหน้าที่ตามบทบาท
ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
ชูผลงานเป็นตัวตัดสิน
แทนที่จะเอาแต่สาดโคลน โจมตี ใส่ร้ายป้ายสี
เพียงเพื่อจะดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม
หวังแค่ดึงคะแนนคืน
ประเภทไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
ไม่เว้นแม้กระทั่งคาถาอาคม
จนแทบจะมองข้ามจริยธรรมทุกระดับ
เสียทั้งพลังงาน สูญทั้งงบประมาณ
เพราะมัวแต่ เล่น การเมือง
ไม่ต่างกับเด็ก เล่น ขายของ
โดยประเทศชาติแทบไม่ได้ประโยชน์อะไร...
เปลี่ยนเป็นโอกาสให้ นักการเมืองใหม่ เข้ามาบริหารประเทศชาติ
ไม่ว่าจะคนรุ่นหนุ่ม คนรุ่นสาว
ที่มีความรู้ ประสบการณ์ วิสัยทัศน์ ความคิดความอ่าน
อีกทั้งทันสมัย มากด้วยพลัง ล้นด้วยศักยภาพ
โดยเลิกระบบผูกขาดของนักการเมืองเก่า
ที่เอาแต่ยึดมั่นถือมั่นในระบบการเมืองเดิมๆ
หมุนเวียนกันอยู่แต่ในอ่าง
แถมยังยึดการเมืองเป็นธุรกิจครอบครัวเสร็จสรรพ
ถือประเทศชาติเป็นสมบัติผลัดกันชม
เหมือนเด็กๆ เล่นเก้าอี้ดนตรี อย่างไรอย่างนั้น...
เปลี่ยนเป็นโอกาสสร้าง นักการเมืองเชิงอาชีพ
ที่ไม่ใช่แค่ อาชีพนักการเมือง
แต่ละคนอาสาเข้ามาอย่างสง่าสมภาคภูมิ
ไม่ใช่ด้วยการหว่านเงินซื้อเสียง
ที่พอเข้ามาแล้วต้องรีบถอนทุนชักกำไรจนมุมมาม
แต่เข้ามาด้วยความจริงใจ ความมุ่งมั่น ความตั้งใจจริง
บริหารงานบริหารกระทรวงด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญ
รู้จริง รู้ลึก รู้กว้าง... เชิงอาชีพ
ไม่ใช่แบบนักการเมืองประเภท ยาครอบจักรวาล
เล่นได้ทุกบทบาท ทำได้ทุกหน้าที่ นั่งได้ทุกกระทรวง
ขอให้ได้โควตา ขอให้ได้โอกาส ขอให้ได้นั่ง
เน้น ตำแหน่ง เป็นหลัก
พอเกิดปัญหาที เกิดเรื่องอื้อฉาวที
ก็สับเปลี่ยนตำแหน่งกันที
จนกว่าจะครบทุกตำแหน่ง
ตราบใดที่อำนาจต่อรองในพรรคยังสูงอยู่.... •