ฝรั่งพูดกันว่า “เปล่าประโยชน์มาร้องไห้กับนมที่หกลงพื้น”
เหมือนจะบอกว่าอะไรผิดพลาดที่ผ่านมาลืมมันไปเสีย
เพราะถึงจะจดจำถึงจำร่ำไห้ถึงจะเสียใจก็เท่านั้น
คงจะเปลี่ยนแปลงคงจะลบล้างคงจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
สู้มาเรียนรู้จากอดีตให้เป็นบทเรียนสำหรับปัจจุบันจะดีกว่ามั้ย...

ช่วงเวลาร้ายๆเพิ่งจะผ่านพ้นไปสำหรับประเทศไทย
พร้อมกับการสูญเสียทั้งชีวิตทรัพย์สินความรู้สึก
น่าจะเข้าทำนองเดียวกันแม้ยังจะต้องปวดร้าว
ยอมรับโดยดุษฎีว่าในสภาพสังคมไทยที่ดูภายนอกราบรื่นรุ่งเรือง
กำลังมีสิ่งบ่อนทำลายกัดกร่อนชอนแซะอยู่อย่างเงียบๆ
เพียงแค่รอเวลาที่จะปะทุขึ้นมาเหมือนความร้อนระอุจากแกนกลางโลก
ดังที่เห็นกันตลอดมาและที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในช่วงนี้...

สังคมไทยโลดแล่นในความเจริญด้านวัตถุเทคโนโลยี
แต่การพัฒนาด้านจิตใจกลับถอยหลังเข้าคลอง
แค่ที่ปะทุออกมาก็เห็นได้ชัดเจนว่าคนไทยเลิกคุยกันด้วยใจ
เอาแต่ผลประโยชน์เงินทองวัตถุเป็นเกณฑ์
กระทั่งความเป็นพี่น้องร่วมชาติไทยดูไร้ความหมาย
ไม่สนแม้ชีวิตความเป็นอยู่ทรัพย์สินของเพื่อนร่วมชาติ
เพียงเพื่อได้ในสิ่งที่ต้องการใครจะเป็นไรช่าง(มัน)...

ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ได้รับกันมา
แม้ใช้กันมากว่าเจ็ดสิบปีและยังอยู่แค่ครึ่งใบ
แม้มีทุกอย่างตามแบบแผนตามระบบตามอารยะประเทศ
รัฐธรรมนูญรัฐสภาการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ส.ส. ส.ว.
ทว่าที่ผ่านมาครึ่งใบที่เหลือดูจะเหี่ยวเฉาทำท่าร่วงหล่นได้ทุกเวลา
เพราะมีแต่คำประชาธิปไตยแต่ใจยังเผด็จการทุกระดับ
ไม่ได้ดังใจไม่เป็นไปตามคาดหวังไม่ถูกใจ
ก็เอาแต่งอแงเล่นแง่เล่นมุมเล่นเกมเล่นพรรคเล่นพวก
เรียกร้องในสภาไม่ได้ผลก็เล่นกันนอกสภาเหนือดินใต้ดิน
ประชาธิปไตยบ้านเราเลยกลายเป็นระบบเอาใจตนเป็นใหญ่
ปากก็ร้องตะโกนประชาธิปไตยแต่ทำให้คนอื่นหมดประชาธิปไตย
แทนที่จะความคิดความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก
กลายเป็นใครมาแรงกว่าใครกล้าท้าทายกฎหมายกว่าเป็นฝ่ายชนะ...

กลไกบริหารบ้านเมืองแบบประชาธิปไตยคือผู้อาสาประชาชน
หน้าที่หลักคือบำบัดทุกข์บำรุงสุขพลเมืองในฐานะผู้แทน
ปากก็อ้างทุกข์สุขของชาวบ้านคือทุกข์สุขของตัวแทนพ่อแม่พี่น้อง
แต่พอเข้าสู่วังวนแห่ง “การเมือง” จิตสำนึกสาธารณะหดหายไป
ชาวบ้านทุกข์ฉันสุขชาวบ้านจนลงฉันรวยขึ้น
“การเมือง” ที่แปลว่าหน้าที่ดูแลบ้านเมืองทั้งภาคส่วนและภาครวม
กลายเป็น “เกมส์” หักเหลี่ยมกันกลาย “เป็นยุทธ์ศาสตร์” ชิงความได้เปรียบ
แล้วก็ใช้ “การเมือง” เป็น “ยาหม่อง” แก้อาการผิดปกติได้ครอบจักรวาล...

ในเมื่อประชาธิปไตยยึดความดีของประชาชนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง
จึงต้องมีกฎหมายควบคุมพร้อมผู้รักษากฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์
แต่พอผลประโยชน์พรรคพวกบุญคุณเข้ามาเกี่ยวข้อง
พฤติกรรม “ไม้หลักปักเลน” มีให้เห็นทั่วทุกระแหงทุกระดับ
กฎหมายที่เท่าเทียมกันทุกคนกลายเป็นแล้วแต่คนแล้วแต่ใคร
กระทั่งผู้คนต้องหวาดหวั่นไร้ที่พึ่งพาหาความปลอดภัยไม่ได้
คนทำผิดลอยนวลคนทำถูกถูกเล่นงานจนแทบอยากเลิกเป็นคนไทย...

พอเกิดสึนามิเกิดแผ่นดินไหวเกิดภูเขาไฟระเบิดคนพึ่งสำนึก
เอาแต่ทำลายโลกทำร้ายธรรมชาติทำเสียระบบนิเวศน์อย่างมันมือ
เพิ่งมาคิดได้ก็ตอนหายนะธรรมชาติมาถึงตัวนั่นแหละ
หลังจากเหตุการณ์ร้ายๆที่เพิ่งผ่านไปคนไทยน่าจะสำนึกได้...ก่อนจะสายไป

 

 

 



-TOP-