อาคารเรียนสามชั้น   สร้างด้วยปูนดูแน่นหนาเช่นอาคารเรียนทั่วไป
       แต่ที่สะดุดตาเมื่อก้าวเข้าไปในบริเวณโรงเรียนคือ  หลุมศพสีขาว 14 หลุม  ตั้งเรียงรายอยู่หน้าอาคารด้านซ้ายมือ
       ที่เคยเป็นห้องเรียนถูกซอยกั้นเป็นห้องเล็ก ๆ  พอจะวางเตียงนอนได้หนึ่งเตียง
       บนเตียงเก่า ๆ มีเส้นเหล็กหนึ่งหุนขึ้นสนิมล่ามโซ่เส้นใหญ่ติดกับปลายเตียงวางอยู่เตียงละเส้น  พร้อมกับเส้นเหล็กที่งอเกือบเป็นวงกลมขนาดเท่าข้อเท้าคนร้อยอยู่สองวง
       ที่พื้นข้างเตียง มีกล่องเหล็กที่ทหารใช้บรรจุลูกกระสุนวางเปิดฝาอยู่
       หน้าต่างมีลูกกรงเหล็กกั้นไว้อย่างแน่นหนา
       ก่อนที่ความสงสัยจะเปลี่ยนเป็นคำถาม  เพียงเหลือบไปมองรูปขาวดำขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ข้างกำแพงห้องก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว
       ถัดไปอาคารเรียนที่สอง   ห้องเรียนถูกซอยกั้นด้วยอิฐอย่างหยาบ ๆ และรีบเร่งให้เป็นห้องเล็ก ๆ ขนาดเท่าคนนอนพื้นได้หนึ่งคนพร้อมกับโซ่  เหล็ก และกล่องเหล็ก
       รูปถ่ายขาวดำหน้าตรงขนาดห้าคูณสามนิ้วติดเรียงรายเป็นแถวจนแทบจะไม่เห็นพื้นกำแพงห้อง
       มีทั้งชายและหญิง  แทบทุกวัย  ทุกฐานะ
       แต่ละคนถูกจำจอง  ขาตีตรวนล่ามโซ่  ทรมานอย่างเสนสาหัส  ในที่แห่งนี้เป็นเวลาหกเดือน  ก่อนที่จะถูกบังคับให้เดินเท้าเปล่าเป็นแถวยาวไปยังแดนประหารนอกกรุงเก่า  25  กิโลเมตร ที่เรียกกันติดปากจนทุกวันนี้ว่า “The  Killing Field”
       ร่องรอยและหลักฐานแห่งความทารุณฝ่ายกายยังมีเหลือให้เห็นเกลื่อนกลาด สะท้อนให้เห็นความกดขี่และกดดันด้านจิตใจที่ร้ายกาจไม่แพ้กัน
       หลายคนคงทนไม่ไหว  พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากระเบียงอาคารเรียนลงมา  แต่ก็ถูกกีดกันไว้ด้วยลวดหนามที่ขึงปิดเอาไว้มิดชิดตลอดระเบียง
       แม้จะแสดงความรู้สึกอย่างที่เป็นออกมาทางสีหน้าในตอนถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานก็ยังทำไม่ได้  เพราะจะมีคนคอยใช้นิ้วจี้สีข้างให้หัวเราะ
       มันเป็นเรื่องราวของความโหดร้าย  ทารุณ  ที่พี่น้องร่วมชาติกระทำต่อกัน  ซึ่งประวัติศาสตร์ประเทศกัมพูชาจะต้องจารึกไว้ตราบนานเท่านาน

       มันเป็นหนึ่งในหลักฐานหลายอย่างที่ชี้บอกให้เห็นว่า  มนุษย์ยามที่ปล่อยให้สันดานดิบขึ้นมาเป็นใหญ่ จะชั่วและโหดร้ายมากกว่าสัตว์
       เพราะมนุษย์มีสติปัญญาค้นคิดหาวิธีการแยบยลและมีประสิทธิภาพ เปิดทางให้สันดานดิบได้ทำตามอำเภอใจอย่างไม่มีขีดกั้น
       มีเพียงมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวของสัตว์โลกที่ทุ่มเทสมองค้นคิดประดิษฐ์อาวุธขึ้นมาเพื่อเข่นฆ่ากันเองมาโดยตลอด
       สัตว์ประเภทอื่นหลายชนิดสูญพันธุ์ไปเพราะการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ         แต่มนุษย์กลับสูญพันธุ์เพราะการเข่นฆ่าทำลายกันเอง
       ไม่ผิดกับฝูงหนอนที่รุมกินซากศพจนหมดเกลี้ยงแล้วก็เริ่มกินกันเองจนไม่มีหลงเหลือ
       ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเท่ากับเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองสันดานดิบ
       ก่อนหน้านี้  มนุษย์ต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเองจากสัตว์ป่า
       แต่เดี๋ยวนี้  มนุษย์ต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันสัตว์ป่าจากมนุษย์ด้วยกัน
       มันเป็นดัชนีชี้บอกสัจธรรมลึก ๆ บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นมาในสังคมที่มนุษย์กล้าอวดโวว่าเป็นยุคที่มนุษย์บรรลุสุดยอดแห่งการพัฒนาก้าวหน้า
       ว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์ร้ายกว่าสัตว์ไปแล้วหรือเปล่า?
       ก็แม้แต่มนุษย์กันเองก็ยังไม่มีการละเว้น  สาอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน
       ไม่ต้องพูดถึงผลกระทบที่ธรรมชาติต้องได้รับ  เพราะการกระทำอย่างไร้ความรับผิดชอบ  ไร้ความรู้ดีชั่วของมนุษย์  ทำแล้วก็มีแต่มาพูด  พูด  พูด  แล้วไม่เห็นทำอะไรให้สมกับศักดิ์ศรีแห่งการเป็นมนุษย์ผู้มีสติปัญญา มีเหตุมีผล มีความรับผิดชอบกันบ้าง
       ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่แตะต้องแล้วต้องเจ็บปวด  น่าอับอาย หดหู่ใจ
       แต่ก็ควรจะพูดกันบ้าง  อย่างน้อยช่วยสร้างความสำนึกกันขึ้นมาบ้างสักนิด  ก็ยังดี •

 



-TOP-