ปร้านตัดผมแต่ละครั้ง เจอกับช่างผมหลากหลายประเภท
       บางคนก็ก้มหน้าก้มตามตัดผม ไม่พูดไม่จา
       ชวนคุยได้คำสองคำแล้วผมก็ปิดตา ทำเป็นหลับ
       ไม่อึดอัดทั้งคนตัด ไม่อึดอัดทั้งคนถูกตัด
       บางคนก็พูดไม่หยุด ตัดไปพูดไป แถมใส่อารมณ์เสร็จสรรพ
       แค่พูดถึงฟุตบอลไทยที่แพ้อย่างไม่เป็นท่า แกเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด
       กรรไกรที่ซอยผมอยู่เร่งจังหวะไปพร้อมกับการบรรยาย…ฉับ ฉับ ฉับ
       จนผมต้องนั่งเกรง กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอแสนจะฝืด ปากก็เออออทำเป็นเห็นด้วย ร่วมความเดือดดาลไปกับแก…อย่างเลี่ยงไม่ได้
       ส่วนใจนั้นภาวนาขอให้แกสงบอารมณ์ลงบ้างตอนที่หยิบมีดโกน เริ่มโกนไปตามคอ ด้านหน้าแล้วก็ด้านหลัง…กกหู ใบหน้า คาง
       พอแกเอาผ้าขนหนูปิดไหล่ออก ก็ให้รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เผลอถอนหายใจเสียงดังจนลืมมารยาท
       หลังเสื้อแฉะด้วยเหงื่อ ทั้งๆที่นั่งห้องแอร์เย็นฉ่ำ
       ไม่เคยสบายใจเมื่อต้องจ่ายเงินเท่ากับครั้งนั้นเลย
       บางคนก็เฉยๆ พอชวนคุยเข้าหน่อย ถูกคอ เลยใช้เวลาตัดผมเสียนาน
       ลงท้ายนวดไหล่ นวดแขน หักนิ้ว พนมมือเคาะหัวเคาะหน้าผากแถมให้อีกต่างหาก
       แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะทำเหมือนกันหมดคือ ถามความประสงค์ของลูกค้า
       “ตัดทรงอะไรดีครับ?”
       ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะมีทรงผมที่นิยมของตนอยู่แล้ว
       ก็เลยเป็นความสบายใจสำหรับช่างผม ตัดไปตามคำสั่ง ไม่ต้องกังวลว่าจะเหมาะดีหรือไม่
       แต่ก็มีลูกค้าบางคนให้ช่างช่วยคิดช่วยตัดสิน
       “ตัดทรงไหนให้เข้าบุคลิกก็แล้วกัน…ให้ดูดีที่สุดเป็นใช้ได้”
       ช่างดูจะพึงพอใจ เพราะนอกจากจะรู้สึกได้รับความไว้วางใจแล้ว ยังสามารถทำในสิ่งที่ดีที่สุด…สำหรับลูกค้า
       ผมก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนลูกค้าประเภทที่สองนี้
       เพราะเชื่อใจว่า ช่างผมคือคนที่รู้ดีว่าตัดทรงไหนจึงจะดึงสิ่งที่ดีที่สุดของผมออกมา…ไว้บนหัวผมเอง
       คนเราจริงๆแล้ว เห็นตัวเองได้ก็เฉพาะด้านหน้าและด้านหลัง จากกระจกเงา
       แต่ไม่สามารถจะเห็นภาพรวมของตัวเราได้ทุกแง่ทุกมุม…ในเวลาเดียวกัน
       บางอย่างที่มองว่างดงามตามที่กระจกเงาสะท้อนให้เห็น อาจจะดูไม่เอาไหนเลยในภาพรวม
       และคนเราชอบเน้นเฉพาะบางส่วนเสียด้วย
       แต่งหน้าก็จะแต่งให้เลิศ โดยไม่ดูว่ารับกับทรงผม รูปร่าง…หรือไม่
       ตัดผมทำผมก็เน้นแค่ทรงผมที่กำลังฮิต โดยไม่คำนึงสัดส่วนอื่นๆว่าเข้ากันได้หรือไม่
       ทรงผมหนึ่งดูเก๋บนหัวหนึ่ง แต่อาจจะดูน่าขำบนอีกหัวหนึ่งก็ได้
       แม้กระทั่งท่าทางการเดินเหิรก็เป็นตัวแปรสำคัญไม่น้อยทีเดียว
       บางอย่างดาราหรือนางแบบเขาแต่งเขาใส่ดูงดงามกลมกลืนแลเท่ห์มีเสน่ห์…คนอื่นก็พากันเลียนแบบมาแต่งมาใส่บ้าง คิดว่าผลจะออกมาเหมือนกัน
       แต่นอกจากจะไม่งดงามไม่เท่ห์ไม่มีเสน่ห์แล้ว ยังกลายเป็นตัวตลกไปโดยไม่รู้ตัว
       จนหลายคนเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะว่า (ในใจ) “ไม่เจียมตัวเสียเลย…”
       เกิดมาผมสวยดกดำ ใช้ยาสระผมอะไรก็เป็นเงางามอยู่แล้ว…
       ส่วนคนที่ผมไม่สวย จะใช้ยาสระผมที่นางแบบโฆษณาเขาใช้กี่ยี่ห้อ ก็คงต้องเสียเงินเปล่า แล้วยังต้องมาเสียความรู้สึกอีก
        ที่จริงแล้ว พระเจ้าท่านสร้างแต่ละคนมามีความงดงามของตนเองอยู่แล้ว
       เคล็ดลับอยู่ในการที่จะดึงจะเน้นความงดงามนั้นออกมาได้อย่างไร ได้มากน้อยแค่ไหน ให้ดูลงตัวที่สุด…เท่านั้นเอง
       เพราะความงดงามนั้นเป็นแค่นามธรรม และไม่มีใครสามารถกำหนดมาตรฐานความงดงามสากลขึ้นมาได้
       ดาราและนางแบบมีไว้ไม่ใช่เพื่อ “ลอกเลียนแบบ” แต่น่าจะเป็น “แบบอย่าง” ของการรู้จักดึงความงดงามที่มีอยู่ในแต่ละคนให้เด่นออกมา เป็นความลงตัวที่มีเสน่ห์ต่างหาก •

 

  

 

 



-TOP-