ดี๋ยวนี้ผมดูละครโทรทัศน์น้อยลง
       จะว่าไม่มีเวลาก็ไม่ใช่ เพราะพอจะเจียดเวลาให้รางวัลแก่ตนเองได้บ้าง
       จะว่าไม่สนใจติดตามวงการโทรทัศน์บ้านเราก็ไม่เชิง เพราะโดยส่วนตัวแล้ว รายการโทรทัศน์เป็นดังกระจกเงาสะท้อนให้เห็นถึงความนึกคิด คุณค่าและรูปแบบของสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้หยุด
       เพียงแค่ห่างเหินไปเดือนสองเดือน กลับมาติดตามรายการอีกครั้งก็มีอะไรต้องแปลกใจ งุนงง และอดถามตัวเองไม่ได้ว่า “ตัวเราตกขอบไปแล้วหรืออย่างไร?”
        แต่ที่ไม่ค่อยได้ดูเพราะเสียดายเวลามากกว่า
      วงการโทรทัศน์บ้านเรานั้นมีเนื้อหาเหมือนๆ กันจะแตกต่างไปก็แค่คน...คนทำรายการ พิธีกร นักแสดง...
       ละครโทรทัศน์ก็เรื่องเดิมๆ นำมาถ่ายทำซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่ดาราเปลี่ยนหน้าไปแทบทุกเรื่อง จนจำชื่อจำเสียงกันไม่ทัน
       พอจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา มันก็ต้องร่ำลาวงการไปแล้ว
       ดาราคนไหนขายดี   ก็รับคิวถ่ายทำละครแทบไม่ทัน  จนบางช่วงโทรทัศน์แทบทุกช่อง   ถ่ายทอดละครคนละเรื่อง แต่ดารานำและดาราประกอบชุดเดียวกัน
       เปิดละครช่องนี้แสดงบทดี น่ารัก เปลี่ยนไปช่องนั้นกำลังแสดงบทร้ายน่าชัง
       จะว่าดาราเมืองไทยขาดแคลนก็ไม่เชิง เพราะมีดาราหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนเข้ามาในวงการไม่ได้หยุด
      จริงๆ แล้ว ขาดดาราที่มีความเป็นศิลปินในหัวใจ มากกว่า
       ส่วนมากแล้วผ่านเข้ามาในวงการเพราะหน้าตาดีมีสายเลือดลูกครึ่ง    มาขายหน้าขายตาได้เรื่องสองเรื่อง ตีบทแตกบ้างไม่แตกซะส่วนมาก  แล้วก็ถอยออกมาในขณะที่ดาราคนอื่นขยับเข้าแทน เพราะไม่คิดจะเอาดีทาง “เต้นกินรำกิน” แบบที่พูดๆ กันสมัยก่อน...จับยึดเป็นอาชีพ
       ต่างกับดาราค้างฟ้าที่มีให้เห็นในวงการ เชี่ยวทั้งการแสดงชาญทั้งการตีบทแตก   แบบมืออาชีพจริง ๆ
       ว่ากันแล้ว ดาราสองประเภทนี้ ใช่จะต่างกันที่ความเชี่ยวชาญ ก็เปล่า  เพราะไม่มีใครเกิดมาเป็นดารา ต่างต้องเสริมต้องสร้างความเชี่ยวชาญกันขึ้นมาทั้งนั้น
        จะว่ามีพรสวรรค์ต่างกันก็ไม่เชิง  เพราะนอกจากพรสวรรค์แล้ว  ทุกคนมี  “พรแสวง”  เหมือนกันหมด
          แต่ความแตกต่างอยู่ที่จะยึดการแสดงอาชีพหรือไม่ มากกว่า
        ถ้าคิดจะยึดเป็นอาชีพ   การทุ่มเท  การขวนขวาย  ความมุมานะที่ปั้นความเป็นดาราขึ้นมาในตนเองให้เป็นที่ยอมรับของแฟนๆ นั้นมีความจริงจัง ชนิดเอาเป็นเอาตาย
ก็ว่าได้
       เพราะมันเป็นเรื่องของหม้อข้าวหม้อแกงเรื่องปากเรื่องท้อง เอาเล่นๆ ไม่ได้
       ส่วนที่ไม่คิดจะยึดเป็นอาชีพ ก็มองการแสดงแค่ทางผ่าน เพื่อให้มีชื่อเสียงว่าได้เป็นดาราเป็นที่ฮือฮาพักสองพัก ในขณะที่หมายตาทางไปไว้เรียบร้อยแล้ว

       จริง ๆ แล้วความแตกต่างนี้ไม่อยู่แค่เรื่องของดาราในวงการบันเทิงเท่านั้น แต่ในทุกสาขาอาชีพ
       ...เป็นครูแค่เป็นทางผ่าน    การสอนการให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ลูกหาก็ทำไปอย่างไร้ซึ่ง   “จิตวิญญาณครู”
       ...เป็นนักเรียนก็เรียนไปอย่างนั้น    ไม่คิดจะกอบโกยวิชาหาความรู้เพราะพ่อแม่เตรียมไว้ให้หมดทุกอย่างแล้ว
       ...เข้าร่วมองค์กรต่าง ๆ   ก็ทำไปตามใจฉัน ไม่คิดจะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจเพราะถือว่าเป็นแค่งานอาสาใช่ว่าอาชีพ
       ...แต่งงานอยู่กินด้วยกันแล้วก็ยังไม่ทุ่มให้กันจนหมดตัวหมดหัวใจ   ทำเผื่อหน้าเผื่อหลังราวกับจะบอกว่าหากแม้นจะไร้เธอชีวิตของฉันก็ยังอยู่ได้
       ...บวชแล้วก็ยังไม่คิดจะอุทิศชีวิตเพื่อพระโดยสิ้นเชิง ยังคงแบ่งใจเดี๋ยวตัวฉัน เดี๋ยวคน เดี๋ยวพระ
       เหล่านี้และอื่น ๆ ซึ่งล้วนชี้บอกสัจธรรมที่ว่า  ทำอะไรหากไม่ทำ   “อย่างอาชีพ”   แล้ว   การกระทำนั้นๆ ก็เป็นแค่ทางผ่าน เป็นแค่สมัครเล่น ผลก็คือชั่วไม่มีดีไม่ปรากฎ
       หากเลือกมอบชีวิตให้ใคร แล้วตระหนักว่า “หากไม่มีคุณ ฉันมีชีวิตอยู่ไม่ได้”
       หากทำงานชิ้นใดแล้วคิดว่า “หากทำไม่ดีทำไม่สำเร็จ ฉันเสร็จแน่เลย”
       อย่างที่ฝรั่งเขาว่า “professional” หรือคนไทยพูดสั้นๆ ว่า มือโปร...ทำแบบอาชีพนั่นเอง•

 

 

 


 

  

 

 



-TOP-