“จอดนิ่งด้วยครับ มีของขึ้น” เสียงคุ้นหูสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ ด้วยรถประจำทาง
       “สองชิดสามด้วยพี่” อีกประโยคหนึ่งที่คุ้นหูก็ตามมาอย่างไม่รอช้า
       “เดินในหน่อยครับ... ชิดในหน่อยพี่ ข้างหลังไม่มีที่ยืนแล้ว...”
       สิ้นเสียง ผู้โดยสารที่โชคร้ายโดนหลอกให้ขึ้นมาทั้งๆ ที่ที่นั่งเต็มขนาดต้องนั่งเบียดเสียดแถวละสาม “ยังมีที่อีกเยอะครับ...ลงระยะใกล้ๆ ทั้งนั้น...” ต้องยืนเสียตัวลีบ ทนรำคาญไม่ได้ก็ต้องขยับไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง

       “ช้าอีกหน่อยเดียว มีหวังอดไถ่คืน” เสียงผู้หญิงกลางคนคนหนึ่งพูดมาจากด้านหลังผม
        “ก็ฉันบอกแล้วนี่นา ให้ฉันกลับมาก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่อง” ชายวัยกลางคนนั่งคู่มาด้วยกันโต้ตอบ ตาก็เหลือบมองซ้ายขวา คล้ายกับว่าจะกลัวใครได้ยิน
       “ก็ตอนนั้นฉันมันคนเดียว เข้าตาจน เลยต้องเอาโฉนดไปกู้เงินเถ้าแก่เขามากันตายไปก่อน” เสียงผู้หญิงเดียวกันนั้นพูดต่อ “ไอ้หนูมันก็ไข้สูง...” “เอาเถอะ” ชายที่นั่งมาด้วยตัดบท “ขอให้ไปเจอเถ้าแก่ตอนท่านอารมณ์ดีก็แล้วกัน...เฮ้อกลุ้ม”

       “โอ๋ลูกแม่...เจ็บมากซินะ...เอาละ แม่จะไม่จับอีกแล้ว...” ผู้หญิงหน้าอ่อนที่นั่งถัดผมไปพยายามปลอบลูกน้อย อยู่ดีๆ เจ้าเด็กน้อยก็แผดเสียงร้องลั่นรถ ทุกคนตกใจหันไปมอง
       “ไอ้หนูมันเป็นอะไรน่ะ ทำไมเนื้อตัวมันจึงเป็นแผลเหวอะหวะอย่างนี้...โธ่น่าสงสาร” คุณยายที่นั่งคู่กันมาถามด้วยความปรานี
       “ไม่รู้จ้ะยาย...มันเป็นไข้สูงอยู่อาทิตย์กว่า” แม่ตอบ “พาไปหาหมอใกล้บ้านเขาก็ให้ยาแก้ไข้มา แล้วอยู่ดีๆ ก็มีตุ่มออกมาเต็มตัว พอหัวมันแตกก็เป็นแผลเหวะหวะไปอย่างนี้... ฉันเห็นท่าไม่ดีเลยรีบพามันเข้ากรุงเทพฯนี่แหละ...”
       “แล้วพ่อมันไปไหนล่ะ ทำไมไม่เอาธุระ...”
        คุณยายถามต่อ เสียงสั่นไปด้วยความเวทนา
       “มันหนีตามชู้ไปแล้ว...”

        “จอดนิ่งด้วยครับ” เสียงกระเป๋ารถดังมาจากประตูหลัง “จอดนิ่งด้วยลูกพี่ คนแก่ลง...”
       ผมนึกชมความเอื้อเฟื้อของเด็กรถคนนั้น
       “ค่อยๆ ลงนะยาย...ฮะ ฮะ...”
       เสียงเดียวกันร่วมกับเสียงเด็กรถอีกสองคนกำลังหัวเราะ ด้วยความชอบใจ
       แปลก ผมเลยหันไปดูด้วยความมักรู้มักเห็น
       ผู้หญิงสาว ๆ สองคนกำลังก้าวลงจากรถ หน้าแดงก่ำด้วยความอาย ตาก็หันมาค้อนกระเป๋ารถขี้เล่นพวกนั้น ปากก็ขมุบขมิบ
       “โชคดีนะยาย...ฮา” เสียงเด็กรถล้อเลียนขณะที่รถเคลื่อนตัวออก
       “ทะลึ่ง” เสียงหญิงสาวทั้งสองไล่ตามรถมา พร้อมๆ กับส่งค้อนตามมาอีกหลายหน
       “ที่บ้านดำนาแล้วเหรอ” ชายสองคนนั่งมาด้วยกันพูดคุยกันเบาๆ ด้วยสำเนียงอีสาน ท่าทางและการแต่งตัวบอกให้รู้ว่าเป็นชาวนาทั้งคู่ ตลอดทางที่ผ่านมาทั้งสองเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ท้องทุ่งรอบข้างถนน คนกำลังไถนาและดำนากันทั่วไป
        “ดำนานแล้ว” อีกคนตอบ “แต่แย่หน่อย... ไม่รู้ว่าจะได้ผลกี่มากกน้อย ฝนก็ตกน้อย ก็คงจะแค่ได้เพียงพอกินกันตายไปเท่านั้นเด้อ บ่ได้คิดร่ำรวยเหมือนก่อนหรอก...” พูดแล้วก็ถอนหายใจใหญ่ “นี่ก็จะเข้ากรุงเทพฯไปขอยืมตังค์น้องชายไปซื้อปุ๋ยหน่อย มันขับแท็กซี่มาสองปีแล้วเด๋อ คงมีหวัง”

        “ผู้โดยสารลงโคราชเตรียมตัวได้เลยครับ” เสียงเด็กรถร้อง
       “รถไม่เข้าท่านะครับ...คนที่จะลงขอทางออกมาเลยครับ...”
       เฮ้อ...ถึงเสียที ผมคิดในใจขณะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเดินทาง
ผ่านไปแล้วละครชีวิตอีกฉากหนึ่งที่ผมนั่งดูมาสี่ชั่วโมงเต็ม
       วันนั้นผมลงแค่โคราช แต่เพื่อนโดยสารรถประจำทาง สายหนองคาย-กรุงเทพฯ ยังเดินทางต่อไป ละครชีวิตฉากอื่นๆ ก็ยังคงเล่นต่อไป
       ครับ ชีวิตของเรามีแต่การเดินทาง ตั้งแต่แรกเกิดขณะที่ยังเดินเหินไม่ได้จนถึงวัยชรา
        บางคนทำมาหากินอยู่กับการเดินทาง คนขับรถ เด็กรถ เจ้าของรถ
       อีกหลายๆ คนต้องเดินทางเพื่อทำมาหากิน ติดต่อธุรกิจการงานการอาชีพ การค้าขาย
       แทบทุกคนต้องเดินทาง เพื่อจะได้มาซึ่งปัจจัยอันจำเป็นสำหรับชีวิต เงิน ข้าวสาร ปุ๋ย การรักษาพยาบาล หยูกยา
       บางคนเริ่มเดินทางก่อน บางคนเดินทางทีหลัง
       บางคนถึงที่หมายปลายทางก่อน บางคนถึงทีหลัง และกว่าจะถึงก็ต้องต่อรถอีกหลายทอด
       ครับ ชีวิตเราเป็นการเดินทาง
       เรามีจุดหมายปลายทางเดียวกัน “ชีวิตต่อจากความตาย”
       หลายคนเริ่มเดินทางก่อน ถึงจุดหมายปลายทางก่อน
       หลายคนเริ่มทีหลัง กลับถึงจุดหมายปลายทางก่อนก็มี ทั้งนี้และทั้งนั้นเพราะความตายไม่เลือกหน้า ไม่เลือกวัย ไม่เลือกฐานะ ไม่เลือกเวลา
       การที่จะเดินทางเมื่อไร ถึงเมื่อไร ไม่สำคัญ
       ที่สำคัญต้องถึงจุดหมายปลายทาง สมความมุ่งหมายความสุขตลอดไปอย่างไงล่ะ •

 

 



-TOP-