20 ปีแห่งการเลือก


       ช่วงนี้ มีเพื่อนฝูงคนรู้จักกริ๊งกร๊างเข้ามาหลายคน
       ร่วมแสดงความยินดี ให้กำลังใจ และสัญญาจะสวดให้
       โอกาสครบรอบการเป็นสงฆ์มา 20 ปีเต็ม
       20 ปีแห่งวัยหนุ่มที่ใช้ไปเพื่อพระเจ้าและรับใช้ปวงประชา
       มองย้อนกลับไปดูช่วงเวลาที่ผ่านมา พลังหนุ่มถูกใช้ไปในภารกิจที่รับมอบหมายอย่างไม่คิดเสียดาย ตามประสาคนไฟแรง
       ไม่ใช่เพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงมั่งมีให้แต่ตนเอง เฉกเช่นคนวัยหนุ่มวัยสาวทั้งหลายเขาทำกัน
       มาถึงตรงนี้ หลังจาก 20 ปีผ่านพ้นไป ยังตัวคนเดียว มีอาหารกินไปเป็นมื้อๆ มีที่ซุกหัวนอน มีงานที่ต้องทำ… ไม่มีสมบัติอะไร
       ไม่ต่างไปจากวันเริ่มต้นวันนั้น เมื่อ 20 ปีก่อน
       เพราะสิ่งที่ควรและน่าจะกอบโกยได้เป็นกอบเป็นกำด้วยความรู้ ความสามารถและพลังที่มีนั้น ยกให้เป็นผลประโยชน์แก่ผู้อื่นจนหมดสิ้น ตามอุดมการณ์แห่งเส้นทางกระแสเรียกนี้
                 
       มันเป็นช่วงเวลา 20 ปีอันเป็นผลจากการเลือกในวันนั้น
       ในเมื่อมนุษย์เกิดมามีอิสรภาพ ก็ย่อมจะมีสิทธิในการเลือก…เลือกสิ่งที่ดีกว่า
       สงฆ์เลือกเอาพระเจ้า เมื่อเห็นว่า พระเจ้านั้นดีกว่าตนเองเป็นไหนๆ
       วันนั้นจึงตัดสินใจเด็ดขาด ที่จะอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้าและสานต่องานของพระองค์
       ไม่น้อยครั้ง การเลือกไม่ใช่เรื่องของการตัดสินเอาระหว่างสิ่งที่ดีกว่าหรือดีน้อยกว่า
       แต่ทว่า เป็นการเลือกระหว่างสองสิ่งที่ดีกันคนละแง่คนละอย่าง
       ชีวิตแต่งงานก็ดี ชีวิตสงฆ์ผู้เลือกเส้นทางถือโสดก็ดี…คนละแบบ
       วันนั้นก็เช่นกัน ได้ตัดสินใจเด็ดขาดเลือกเส้นทางสายโสดตามเยี่ยงอย่างพระอาจารย์
       การเลือกด้วยความจริงจังแม้จะยาก แต่การยึดถือตามการเลือกนั้นย่อมจะยากกว่าเป็นไหนๆ
การจะเลือกคนที่มาเป็นคู่ชีวิตนั้นยากก็จริง แต่หลังจากเลือกแล้วการทำให้เขา-เธอคนนั้นเป็นคู่ชีวิตอย่างแท้จริงและเสมอไปนั้นยากเย็นเสียนี่กระไร
       และ 20 ปีที่ผ่านมาของการเลือกก็บ่งบอกสัจธรรมนี้ได้เด่นชัด

       งานวันบวชพระสงฆ์ทุกงานคนมาร่วมพิธีกันคับคั่ง
       มาร่วมรับรู้ เป็นพยาน ร่วมยินดี ให้กำลังใจ…
       พองานเลี้ยงเลิกรา สงฆ์ต้องอยู่ตัวคนเดียว ทำงานที่รับมอบหมายตามลำพัง…กับพระเจ้า
       ประชาสัตบุรุษที่เคยมาร่วมยินดีให้กำลังใจต่างแยกย้ายกันไป
       น้อยคนนักที่จะสนใจความเป็นอยู่ ทุกข์สุข ของสงฆ์ในแต่ละวัน
       ส่วนใหญ่ได้แต่คอยจับตาดูอยู่ห่างๆ ไม่ให้สงฆ์ทำตัวมัวหมองด้วยเรื่องใดๆ
       หากเห็นมีใครเข้าหาให้ความใกล้ชิดเป็นพิเศษ จึงจะถือเป็นธุระหามาตรการจัดการ
       คล้ายกับว่าทุกคนรู้สึกเป็นหน้าที่ที่จะทำให้พระสงฆ์อยู่ตามลำพัง ตัวคนเดียว…ให้ได้
       หาคิดไม่ว่า เพื่อสงฆ์จะอยู่คนเดียวได้นั้นก็ต้องการทุกคน
       เพราะเส้นทางชีวิตคนเรานั้น มันช่างเปล่าเปลี่ยวและโหดร้ายเกินกว่าที่เดินไปตามลำพังคนเดียวได้           
       พรหมจรรย์สงฆ์จึงไม่ใช่เป็นเรื่องของสงฆ์ผู้เดียวที่ต้องดิ้นรนต่อสู้…ตามลำพัง
       หากแต่เป็นเรื่องที่สัตบุรุษทุกคนร่วมรับผิดชอบด้วย ไม่มากก็น้อย
       การที่ทุกคนให้ความสนใจสาระทุกข์สุขดิบ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของสงฆ์นั้น ทำให้สงฆ์รู้สึกว่า แม้จะเดินในเส้นทางนี้เพียงลำพังคนเดียว แต่ไม่ใช่ตัวคนเดียว
       มีการพูดกันเสมอว่า “สงฆ์เป็นคนของทุกคน และไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง”…ซึ่งก็เป็นความจริง
       แต่แล้วก็ไม่มีใครคิดจะมีปฎิสัมพันธ์ ให้ความสนใจ ให้ความเป็นเพื่อน ให้ความห่วงใย        ให้การดูแล…สมดังที่สงฆ์เป็นคนของตนเลย
       ลงเอย  สงฆ์เลยไม่ได้เป็นคนของใครสักคนเดียว!
       ฝากท่านผู้อ่านเป็นข้อคิดโอกาสครบรอบ 20 ปีนะครับ •

 

 



-TOP-