
บ.สันติสุข
ข้องใจและร้อนใจ อยากจะเห็นบรรดาคริสตชนมีความเป็นผู้ใหญ่ในท่าทีและการปฏิบัติตลอดจนการแสดงออกในการไปวัดแต่ละครั้ง
เสียงดังมาตามสาย ชัดถ้อยชัดคำ
ผมว่าจะถามอะไรพ่อซักอย่าง... เสียงนั้นพูดต่อหลังจากแนะนำตัวให้รู้จัก ฐานะเพื่อนเก่าคบหากันมานาน
แต่จะเขียนมาถามในรายการคุยกับคุณพ่อ ก็ไม่มีเวลาจะมาแต่งร้อยคำสำนวนโวหาร... เลยคิดว่าจะถามกันอย่างงี้แหละ... แล้วคุณพ่อช่วยเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษรเอาเองนะครับ ไหน ๆ ก็เป็นนักเขียนอยู่แล้ว...
จิตวิทยาสูง เพื่อนผมคนนี้ รู้จักใช้ไหว้วาน...
คือว่า... เพื่อนเขาพูดต่อ น้ำเสียงจริงจัง ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสเข้าร่วมพิธีในโบสถ์คริสเตียนแห่งหนึ่ง แรก ๆ ก็คิดว่าเข้าไปด้วยความมักรู้มักเห็นมากกว่า แต่พอเห็นสิ่งที่เขาทำกัน เกิดความเลื่อมใสขึ้นมาไม่น้อย
วันนั้น เขามีการประชุมร่วมกัน มีการอ่านพระคัมภีร์ แล้วมีการแบ่งปันพระวาจา ต่างคนต่างพูดสิ่งที่ตนประทับใจ และสิ่งที่พระคัมภีร์บอกสอนเพื่อชีวิต ผมฟัง ๆ ดูแล้วได้อะไรขึ้นมาแยะเลยครับ ที่ประทับใจเป็นพิเศษคือ เขากล้าพูด กล้าแบ่งปันกับทุกคน ไม่ว่าใคร เพศหรือวัยใด
ผมมานั่งคิดกับตนเองว่า นี่สิการไปวัดแบบผู้ใหญ่ แล้วก็ไม่วายหวนกลับมาคิดถึงการไปวัดของเรา ผมมองดูแล้วมันเป็นการไปวัดแบบเด็กๆ คือว่า เราไปวัด เราไปรับฟังคุณพ่อท่านเทศน์สอน คอยรับฟังลูกเดียว รับเอาไว้ แล้วกลับไปบ้านหาวิธีปฏิบัติตามสุดแต่ความสามารถและกรณี เราไปรับฟังตั้งแต่เล็กไปจนแก่เฒ่าก็ยังไปรับฟังอยู่ ผมมองดูแล้วในแง่นี้ดูเหมือนกับว่าเราไม่มีการเติบโตกันเลย ไม่มีการแบ่งปันความนึกคิดเกี่ยวกับพระวาจาของพระเจ้า แบบผู้ใหญ่ที่มาแลกเปลี่ยนความนึกคิดกัน เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้กันและกัน ก็เลยลงเอยว่า เราไปวัดไปฟังผู้ใหญ่สอน... เราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับ... ฮัลโหล... คุณพ่อยังฟังอยู่หรือเปล่าครับ...
ก็เล่นพูดแทบจะไม่พักหายใจอย่างนี้ ก็ไม่มีโอกาสอ้าปากเท่านั้นเอง
ครับ... ผมว่าเป็นเรื่องน่าจะมาคิดหน่อยเพราะมองดูแล้ว ในเรื่องนี้พระศาสนจักรไม่ช่วยส่งเสริมความเป็นผู้ใหญ่ให้สัตบุรุษเลย ผลที่ตามมาอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ทุกครั้งที่มีการสัมมนา ไม่ว่าระดับเยาวชน เด็ก หรือผู้ใหญ่ เมื่อมีการแบ่งปันพระวาจาแต่ละครั้ง นั่งกันเงียบหมด ไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าแบ่งปัน... ก็เลยอยากจะถามพ่อว่า พ่อมีความคิดเห็นเป็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพ่อคิดว่าพระศาสนจักรควรมีท่าทีอย่างไร... เพื่อช่วยประชาสัตบุรุษให้เป็นผู้ใหญ่กันมากขึ้น...
คำถามเป็นเชิงขอความคิดเห็น
ผมก็จะให้ความคิดเห็นเป็นการแบ่งปันแบบผู้ใหญ่กันตามความสามารถ
ครับ ก่อนอื่น อดชมเจ้าของปัญหาไม่ได้ ไม่ใช่ชมเพราะเขาเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมา แต่ชมที่เขาเป็นคนช่างคิด ช่างวิเคราะห์ และไม่พอใจอะไรต่ออะไรง่าย ๆ
ไม่พอใจอะไรง่าย ๆ ไม่หมายความว่าขี้บ่น จู้จี้ เอาแต่ใจชอบ... แต่เป็นการไม่ยอมพอใจ ถ้าเห็นว่าอะไรน่าจะดีกว่านี้ได้ น่าจะปรับปรุงแก้ไขให้ครบครันขึ้นไปได้
นิสัยของคนรักความก้าวหน้า
ก่อนอื่น ผมอยากให้ความเห็นเกี่ยวกับท่าทีของเราต่อพระวาจาของพระเจ้า
เป็นที่น่าสังเกตว่า พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่า พระวาจาของพระองค์ เป็นดังเมล็ดพืช และเราผู้ฟังเปรียบเป็นเนื้อดิน
ตัวผู้กระทำในกรณีนี้ คือ เมล็ดพืชที่ถูกฝังลงในดิน พบเนื้อดินดีก็งอกงามเป็นลำต้นออกดอกออกผล
ดินไม่ได้ทำอะไร นอกจากไม่เป็นอุปสรรค มีหินเจือปน หรือหญ้าร้ายที่จะทำให้เมล็ดพืชงอกงามไม่ได้เต็มที่
นั่นหมายความว่า พระวาจาเป็นผู้กระทำในตัวเรา พื้นดินรองรับพระวาจาของพระองค์
ท่าทีที่ถูกต้องในการรับฟังพระวาจาของพระเจ้า น่าจะเป็นท่าทีแห่งการยอมให้พระวาจากระทำในตัวเรา เปลี่ยนตัวเรา โดยการขจัดอุปสรรคทุกอย่างที่จะเป็นเหตุให้พระวาจานั้นกระทำการงอกงามเกิดดอกออกผลในตัวเราได้ไม่เต็มที่ อาทิ บาปความติดใจผูกพันสิ่งของเงินทอง ความเย็นเฉย เป็นต้น
การรับฟังพระวาจาจึงไม่ใช่ความพยายามจะเอาพระวาจาของพระเจ้าไปปฏิบัติ ฉันจะทำ.. ฉันจะประยุกต์... ฉันจะปฏิบัติ... ซึ่งก็มักจะลงเอยเป็นตัวเราที่กระทำมากกว่าจะปล่อยให้พระวาจาของพระเจ้ากระทำในตัวเรา
ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าในทุกอย่างน่าจะเป็นพระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำ แม้แต่ในการรักพระเจ้าด้วย การรักพระเจ้าจึงไม่ใช่อยู่ในการพยายามรักพระองค์... ฉันรัก... แต่น่าจะเป็นการยอมให้พระเจ้ารักเรา รักเราได้เต็มที่ โดยไม่มีอุปสรรคกีดกัน โดยไม่มีคู่แข่ง... ความพยายามในการรักพระเจ้าของเราอยู่ในการทำตัวให้น่ารัก ขจัดทุกสิ่งที่จะทำให้พระเจ้ารักเราได้ไม่เต็มที่...
มองจากแง่นี้แล้ว ความสำคัญที่เราน่าจะให้ในการฟังพระวาจาของพระเจ้า จึงไม่ใช่อยู่ในการพยายามแบ่งปันกันแบบผู้ใหญ่ หรือใช้พระวาจาของพระเจ้าในรูปแบบต่าง ๆ นานา
ต่อหน้าพระเจ้า เราทุกคนยังเป็นเด็ก และควรจะเป็นเด็ก อย่างที่พระเยซูเจ้าทรงเตือนเรา
ผมเห็นด้วยกับการแบ่งปันพระวาจากัน ถ้าเข้าใจว่า การแบ่งปันพระวาจาคือการแบ่งปันประสบการณ์ ประสบการณ์ของแต่ละคนที่พระวาจาของพระเจ้าเข้าไปมีบทบาทเปลี่ยนแปลง เสริมสร้าง... แต่ละคนไม่เหมือนกัน และเช่นนี้ด้วยการแบ่งปันประสบการณ์ก็เป็นการสร้างเสริม ให้ตัวอย่าง ให้กำลังใจกันและกัน ในการปรับปรุงพื้นดินให้ยิ่งทียิ่งดีพร้อมเพื่อพระวาจาจะได้งอกงาม เกิดผลในชีวิตแต่ละวัน
แต่ถ้าการแบ่งปันพระวาจา เข้าใจกันว่าเป็นการแบ่งปันความรู้ เป็นการเทศน์สอนกัน หรือใช้พระวาจาของพระเจ้าจี้จุดอ่อนใครต่อใคร แม้ด้วยความหวังดีอย่างที่พยายามจะคิดล่ะก้อ... การแบ่งปันพระวาจาก็ต้องลงเอยอย่างเพื่อน เจ้าของคำถามเขาพูดทางสายมา พูดกันไม่ออก... ไม่รู้จะพูดอะไร... ไม่กล้าพูด... ไม่มีความรู้...
ความรู้กับประสบการณ์เป็นคนละเรื่อง
ความรู้มีเฉพาะคนที่รู้เท่านั้นพูดออกมาได้ และเปรียบเทียบได้ว่าใครรู้มากใครรู้น้อย ใครรู้ดี ใครรู้ไม่ดี
แต่ประสบการณ์ทุกคนมี ต่างคนต่างมีไม่เหมือนกัน พูดออกมาได้ทุกคน ถ้าอยากและจะมาเปรียบเทียบกัน วัดมากวัดน้อยกันไม่ได้
ในแง่ของความรู้ คนที่รู้น้อยย่อมต้องเรียนรู้จากคนรู้มาก ศิษย์เรียนรู้จากอาจารย์ ลูกเรียนรู้จากพ่อแม่... โดยปริยาย คนที่รู้น้อยย่อมอยู่ในสภาพคล้ายเด็กที่ไปเรียนรู้จากผู้ใหญ่
พระศาสนจักรในฐานะผู้รับอำนาจจากพระคริสตเจ้าให้สั่งสอนประกาศพระวาจาให้มวลมนุษย์ และพร้อมกับอำนาจก็มีหน้าที่ หน้าที่สั่งสอนย่อมบ่งบอกถึงความรู้ที่จะไปสั่งสอน
นิสิตนักศึกษาที่ต้องการเป็นผู้ใหญ่ด้วยการมาแบ่งปันประสบการณ์ด้านความรู้กัน โดยไม่มีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิถ่ายเทความรู้ให้ ย่อมจะไม่ได้รับความรู้ที่ควรจะรู้ให้แน่นอนฉันใด การจะให้คริสตชนเป็นผู้ใหญ่แบ่งปันพระวาจาในแง่ความรู้โดยไม่มีการตระเตรียมเรียนรู้มาพอสมควร ย่อมจะเป็นการเสี่ยงและไม่ช่วยให้ได้อะไรที่ถูกต้องเท่าที่ควรฉันนั้น
เป็นเด็กที่กำลังเรียนรู้ดีกว่าผู้ใหญ่ที่รู้ผิดๆ เป็นไหนๆ ตามความคิดของผม
และตามความคิดของผม ถ้ารู้จักแยกการแบ่งปันพระวาจาในแง่แบ่งปันความรู้ และแง่แบ่งปัน