
สิ่งของร้าวแตกยังพอจะต่อ จะติดจะปะด้วยกาวได้ แต่ใจที่แตกร้าว
ยากที่จะสมานให้เหมือนเดิมได้ และไม่น้อยครั้งเป็นไปไม่ได้เลย...
คุณพ่อคะ
ระยะสองปีที่ผ่านมานี้ ดิฉันเขียนจดหมายนับจำนวนไม่ถ้วน พอเขียนเสร็จก็จะฉีกทิ้งเสมอ เพราะพออ่านดูแล้วยังรู้สึกว่าจะบรรยายเรื่องราวของดิฉันได้ยังไม่ครบถ้วนชัดเจนดีนัก
แต่วันนี้ดิฉันรู้สึกท้อแท้อย่างที่สุด และเป็นครั้งแรก เมื่อเช้านี้ที่ดิฉันคิดจะฆ่าตัวตาย ดิฉันหวังเหลือเกินว่าพระเจ้าจะประทานกำลังให้สามารถแบกกางเขนอันหนักนี้จนถึงที่สุด และสามารถกล่าวซ้ำทุกเช้าว่า ลูกขอบคุณพระองค์ที่ได้ทรงสร้างลูกมาให้เป็นคริสตังและพิทักษ์ลูกตลอดคืนนี้... ที่สวดเช่นนี้เพราะคุณพ่อผู้ฟังแก้บาปให้ดิฉันสวดเป็นกิจใช้โทษบาป แต่ดิฉันต้องสวดขณะที่ร้องไห้ไป
ดิฉันอายุ 45 ปี ส่วนสามีอายุ 42 และเราร่วมชีวิตมาด้วยกันมาตลอดยี่สิบปี มีลูกด้วยกันสามคน สองคนแรกพระทรงยกไปแล้ว คนแรกตอนแรกเกิด ส่วนคนที่สองเนื่องจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ส่วนลูกชายคนที่สามตอนนี้อายุได้ 12 ขวบ และอยู่กับดิฉัน ชีวิตการแต่งงานของดิฉันประสบความยุ่งยากและทุกข์ระทมตลอดมา ดิฉันได้แต่งงานกับชายคนที่ดิฉันรัก ผู้ที่ดิฉันเคยเชื่อว่าเป็นคนดี และสุภาพอ่อนโยนแต่แล้วดิฉันต้องมายอมรับว่า ดิฉันกำลังร่วมชีวิตเคียงข้างสามีที่เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด หลงตัวเอง และก้าวร้าว
เขาถือว่าเขาคนเดียวเท่านั้นที่ครบครัน คนอื่น ๆ ด้อยกว่าเขาทุกคน แม้ภรรยาของเขาเองด้วย ตลอดยี่สิบปีดิฉันต้องได้รับการดูถูกดูแคลนให้ต้องอับอายอยู่เสมอ เขาถือว่าดิฉันโง่เขลา ไม่รู้เรื่องรู้ราว อะไร ๆ ก็แย่ไปหมด ไม่มีกระดูกสันหลัง... ดิฉันพยายามสร้างความตระหนักใจในอันที่จะแบกไม้กางเขนแสนหนักหน่วงนี้จนถึงที่สุด จึงได้พยายามยอมรับทุกอย่าง พร้อมทั้งให้เหตุและผลแต่แล้วก็ต้องลงเอยรับทน เพื่อลูกจะได้ไม่ต้องมาพบเห็นสิ่งไม่ดีงามที่อาจจะเกิดขึ้น คุณพ่อผู้ฟังแก้บาปของดิฉันก็เฝ้าให้กำลังใจบอกให้มีความเพียรทนและให้สวดมาก ๆ
สองปีก่อนนี้ จู่ ๆ สามีดิฉันก็เหินห่างจากบ้านไปเฉย ๆ เพราะไปหลงรักผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ไม่มีสิ่งใด และไม่มีใครจะยั้งเขาอยู่ได้ หลังจากนั้นเขาก็ขอแยกกับดิฉันและดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบสิ้นกันไป แม้ชีวิตการแต่งงานของดิฉันจะคอยสร้างแต่ความชอกช้ำมาตลอด แต่การแยกกันอยู่ครั้งนี้นำความปวดร้าวใจมาให้แก่ดิฉันเป็นอย่างมาก เป็นต้นเมื่อต้องหาทางอธิบายให้ลูกได้รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยที่พยายามจะไม่ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อพ่อในความรู้สึกของลูก
ทว่า เวลาคือแพทย์ผู้สมานแผลดวงใจ ไม่ช้าเราก็สามารถชนะความรู้สึกทุกข์ระทมครั้งนี้ได้ ความทุกข์ระทมที่มาจากความอับอาย ปวดร้าวทุกครั้งที่คนพากันถาม ทำไม
กระนั้น การเรียนของลูกชายเริ่มแย่ลง แกเริ่มพูดจาหยาบคาย แกเคยเป็นไข่มุกเม็ดงาม แต่แล้วต้องกลับเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่าในส่วนลึกของดวงใจ ยังคงมีความดีฝังอยู่ก็ตาม แล้วต่อมาก็เริ่มสงสัยไปหมด แม้กระทั่งในเรื่องความเชื่อ ดิฉันพยายามทำทุกอย่างด้วยความราบรื่นแจ่มใส แม้จะเป็นแค่เปลือกนอก แต่ก็ทำเพื่อเห็นแก่ความรักต่อลูก โดยอาศัยกำลังใจที่ได้จากความเชื่อ ศีลศักดิ์สิทธิ์ มิสซา และการรับศีลมหาสนิทตลอดมา
สองเดือนก่อนนี้ หญิงสาวที่อยู่กินกับสามีของดิฉันตีตัวจากสามีไป สามีจึงคิดจะกลับมาอยู่กับเราใหม่ พร้อมกับยืนยันว่าเขาเสียใจสำหรับความผิดที่ทำไปและนี่แหละที่เริ่มสถานการณ์ยุ่งยากในมโนธรรมของดิฉัน ดิฉันไม่รักชายคนนี้อีกต่อไปแล้ว ดิฉันเลิกรักเขามาหลายปีแล้ว อย่างที่เขาเองก็เลิกรักดิฉันมานานแล้วเช่นกัน ดิฉันไม่ทราบเหมือนกันว่า หลังจากการแตกแยกครั้งนี้แล้ว เราจะมาร่วมชีวิตกันอีกได้อย่างไร เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย เขาดูถูกแม้กระทั่งความเชื่อของดิฉัน ความเชื่อที่เป็นดังอาหารประจำวันสำหรับดิฉัน ทุกครั้งที่เราพบกัน เรามักจะลงเอยด้วยการทะเลาะถกเถียงกันทุกครั้งไป ก่อนนี้ดิฉันยังยอมเงียบ แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว แล้วเราจะกลับเป็นสามีภรรยากันอีกได้อย่างไร?
ปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือ ลูกชายของเราแม้จะยินยอมพบกับพ่อของเขาเป็นครั้งคราว แต่ทำไปเพราะความสงสารมากกว่าและไม่ยอมให้พ่อเข้าบ้านเด็ดขาด สามีเองก็พยายามปั่นหัวลูกด้วยความคิดผิด ๆ สับสน และมักจะพูดถึงดิฉันว่าเดี๋ยวก็เป็นนักบุญ เดี๋ยวก็เป็นปีศาจ เดี๋ยวก็เป็นมรณสักขี เดี๋ยวก็เป็นคนทำอะไรจำกัดจำกี่ไปหมด แล้วแต่อารมณ์แต่ตัวดิฉันรู้ตัวเองดีว่า ทุกวันคอยพยายามยึดความดีเป็นที่ตั้งเสมอ และแม้ทุกวันนี้ก็ไม่คิดจะเกลียดหรือเก็บพกความขุ่นเคืองเจ็บใจอะไรไว้ ดิฉันถือว่าสามีเป็นคนน่าสงสารที่เคยมีสิ่งประเสริฐ (ภรรยาผู้น่ารัก อ่อนน้อม สัตย์ซื่อ) แต่แล้วก็ทิ้งขว้างสิ่งประเสริฐนั้นไป ดวงใจของดิฉันต้องร้าวรานเป็นที่สุด ดิฉันได้ยกโทษให้เขาแล้ว (และไม่ใช่จะง่าย) แต่ดิฉันยังลืมไม่ได้ ดิฉันเคยลองให้เขามาอยู่ที่บ้านตลอดวัน แต่แล้วทั้งวันนั้นเขามีแต่จะคอยหาเรื่องทะเลาะวิวาท สบถสาบาน พูดจาหยาบคาย หาว่าไม่มีอะไรถูกต้องสักอย่างเดียว... แล้วจะให้ทำอย่างไร?
คุณพ่อผู้นำวิญญาณของดิฉันบอกให้ดิฉันรอดูซิว่า เขาจะเปลี่ยนจริงหรือไม่ แต่ดิฉันเห็นเขาแย่ลงไปทุกวัน พระเจ้าทรงต้องการอะไรจากดิฉันหนอ?
คุณพ่อคะโปรดช่วยดิฉันด้วย ดิฉันขออนุญาตเตือนคู่สามีภรรยาที่มีปัญหาว่า จงพยายามพูดปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ ออกมา พูดกันออกมาให้หมด จงเปิดเผยและจริงใจต่อกัน มีอะไรก็ระบายกันออกมาเสียก่อน เพราะเมื่อแยกกันอยู่แล้ว การจะประสานรอยร้าวแทบจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว หลายคนบอกดิฉันว่า ความผิดของดิฉันคือ การที่มีใจอ่อนหวานเกินไป เป็นแม่มากเกินไป อ่อนแอเกินไป จริงอย่างที่เขาว่า แต่ดิฉันเองก็ได้ต่อสู้มามากแล้วเหมือนกัน...
จดหมายลงชื่อ
เขียนจดหมายมาตลอดสองปี
พยายามจะพูดตัวเองออกมา
แต่แล้วก็ต้องจนใจ ยังพูดไม่ได้ครบสักที
สภาพของจิตใจ ที่มีความรู้สึกต่าง ๆ ประดังกันอัดแน่นอยู่ในอกเช่นนี้ คงจะไม่มีลายลักษณ์อักษรใดจะสามารถสาธยายออกมาได้หมด
ภาษายังมีขอบเขตเกินที่จะสื่อดวงใจได้หมดทุกอย่าง
ที่สุดเธอจึงได้ตัดสินใจ ปล่อยให้ปากกาลากความรู้สึกทั้งหมดออกมาเป็นลายเส้น ลายอักษร และทุกสิ่งก็พรั่งพรูออกมา
บุคคลที่น่าจะช่วยเธอให้มีชีวิตสมบูรณ์กลับคอยแต่ทำลายชีวิตนั้นเสียแหลกลาญ
บุคคลที่เธอเคารพบูชาดั่งดวงใจ กลับคอยแต่เหยียบย่ำความรู้สึกของเธออย่างไร้ปรานี
บุคคลที่เธอยึดเป็นสรณะที่พึ่งแห่งชีวิต กลับอ่อนไหว โยกโย้ ล่องลอยไปตามความรู้สึกฝ่ายต่ำ
บุคคลที่น่าจะเป็นพ่อพิมพ์ของลูก กลับทำตัวจนเป็นที่รังเกียจจนลูกไม่คิดจะอยู่ใกล้เชยชม
แล้วที่สุด ลูกที่เกิดมาจากความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งใจและกายของพ่อแม่ กลับต้องมาเป็นพยานเห็นความแตกแยกของพ่อแม่วันแล้ววันเล่า
จดหมายฉบับนี้อ่านดูดี ๆ แล้วไม่ใช่จดหมายขอความคิดเห็น แต่ขอการรับรู้เห็นใจ
ไม่ได้ขอความเวทนาสงสาร แต่ขอให้เรียนรู้ไว้เป็นบทเรียน
บทเรียนที่ราคาแพง แพงเท่าชีวิต แพงมากจนผู้เขียนไม่อยาจะให้คนอื่นต้องเคราะห์ร้ายมาเรียนรู้ด้วยตนเอง...อย่างเธอ
อ่านจดหมายของเธอแล้ว
ท่านเหมือนผมไหมครับ •