ออกจากหน้าวัดอัสสัมชัญได้ ผมก็รีบขับรถหาทางขึ้นทางด่วนไปถนนพระรามเก้า
       เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญกรุง แล้วเลี้ยวขวาเข้าสุริวงศ์…เลี้ยวขวา แล้วก็เลี้ยวขวาอีกที ก็จะถึงทางขึ้นทางด่วน… คนแถวนั้นให้คำแนะนำเร็วปรื๋อ
       มันง่ายสำหรับคนที่คุ้นเคย แต่ยากเอาการสำหรับคนที่ลองเป็นครั้งแรก
       ขับมาติดไฟแดงทางแยกที่ต้องเลี้ยว ข้างหน้ามีแท็กซี่คันหนึ่งจอดรออยู่
       จนกระทั่งรถแท็กซี่เริ่มเคลื่อนตัวนั่นแหละ ผมจึงเห็นลูกศรวาดไว้ที่พื้นถนนชี้บอกว่าเป็นช่องทางตรงไป
       คงต้องตรงไป แล้วหาทางกลับรถมาใหม่… สมองรีบสั่งงาน ขณะทำใจว่าคงต้องเสียเวลาอีกโข
       ขับรถในกรุงเทพฯก็ต้องรู้จักทำใจ ไม่เช่นนั้นจะเครียดได้ทุกเวลา
       แต่แล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นบัดดล เมื่อแท็กซี่เลี้ยวขวา…
       ผมรีบขับตามหลังไปติด ๆ ใจก็อดขอบคุณสวรรค์ไม่ได้… บางทีอาจจะมีการยกเว้นให้เลี้ยวขวาได้ เพราะอย่างไรเสียคนขับแท็กซี่จะคุ้นเคยกับแถวนี้มากกว่าผม
       ยังขอบคุณสวรรค์ไม่สิ้นคำ ก็มีเสียงนกหวีดดังแหลมมาจากด้านขวาถนน
       สมองคิดสรุปได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนั้น
       คงไม่มีเด็กมาเป่านกหวีดเล่นแถวนี้แน่
       แล้วจะมีใครอีกล่ะที่ชอบเป่านกหวีดตามถนน?
       ทันทีที่ตาเหลือบไปเห็นตำรวจ ใจก็หล่นลงมาที่กระเป๋าเงิน
       ไม่รู้เป็นอะไร ขับรถเห็นตำรวจทีไรต้องคิดถึงกระเป๋าเงินทุกที
       “ขอใบอนุญาตด้วยครับ” สิ่งแรกที่ตำรวจพูดเมื่อผมจอดรถติดฟุตบาทและหมุนกระจกรถลงมาครึ่งหนึ่ง
มันเป็นสูตรสำเร็จ… ยึดใบขับขี่ก่อนแล้วค่อยตั้งข้อหา
       “คุณอยู่ในช่องทางห้ามเลี้ยว… จอดรถไว้นี่แล้วไปจ่ายค่าปรับที่ป้อมนะครับ”        ตำรวจชี้แจงหน้าตาเรียบเฉย ไม่ส่อความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
       ผมเพิ่งมาเข้าใจความหมายของคำว่า “หน้าหิน” วันนั้นเอง
       “คุณตำรวจครับ…” ผมพยายามทำเสียงให้น่าเห็นใจที่สุด “…ผมเพิ่งจะมาแถวนี้เป็นครั้งแรก…”
       “กฎเป็นกฎสำหรับทุกคน  เคยมาหรือไม่เคยมา…” ตำรวจพูดตัดบท        เสียงเรียบแต่แฝงไว้ซึ่งความเอาจริงเอาจัง
       “ผมเห็นรถแท็กซี่เลี้ยว ผมก็เลี้ยวตาม นึกว่าวิ่งได้…” ผมพยายามชี้แจง เน้นคำ “แท็กซี่”        เป็นเชิงตัดพ้อว่าเลี้ยวตามกันมา ทำไมจับอยู่คันเดียว…กฎเป็นกฎสำหรับทุกคน
       “แท็กซี่ไหน…” เสียงส่อความลังเลมากกว่าจะตั้งใจถาม
       “มาธุระอะไรแถวนี้หรือครับ…”  น้ำเสียงเริ่มเป็นธรรมชาติหลังจากมองใบขับขี่ผมครู่ใหญ่
       “ผมมาอัดรายการโทรทัศน์ช่องคาทอลิกครับ” ผมรีบรายงานตามความเป็นจริง         ชุดที่ผมสวมใส่อยู่ยืนยันได้ชัดเจน
       “อ๋อ…เหรอครับ…ยังไงขับรถรักษากฎจราจรด้วยนะครับ” ตำรวจตักเตือนพลางยื่นใบขับขี่คืนให้ผม 
       “อ้อ…เวลาออกรายการ ช่วยพูดแก้ภาพพจน์ให้ตำรวจด้วยก็แล้วกัน… คนพูดไว้เสียหายกันเยอะ…ตำรวจดีๆมีแยะนะครับ…เชิญเลยครับ” พูดแล้วก็ยิ้มมุมปาก        คล้ายจะต้องการให้ผมเห็นเพียงคนเดียว
       จนป่านนี้ ผมยังไม่มีโอกาสพูดแก้ภาพพจน์ให้ตำรวจอย่างที่สัญญา
       แต่ที่แน่ ๆ คือ ผมได้พูดให้ตัวผมเองแล้ว…ยอมรับว่า ตำรวจดี ๆ มีแยะจริง
       โบราณท่านบอกว่า “ต้นไม้แห้งต้นเดียวล้มส่งเสียงดังมากกว่าต้นไม้ทั้งป่าที่กำลังงอกงามเติบโต” จนดูเหมือนว่าต้นไม้ตายจะมีมากกว่าต้นไม้เป็น
       ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว คนไม่กี่คนที่เลว ไม่หมายความว่าทุกคนจะชั่วกันไปหมด
       แต่เพราะติดนิสัยชอบซื้อแบบ “เหมาจ่าย” ก็เลยมักตัดสินคนแบบ “เหมารวม” โดยไม่คิดจะแยกแยะ
       หากช่วย ๆ กันแก้ภาพพจน์ เริ่มต้นจากคนใกล้ตัว สังคมจะดูดีกว่านี้เป็นไหน ๆ .


 



-TOP-