“มันเป็นฝันร้ายชัดๆ…”  เพื่อนผมคนนั้นระเบิดออกมาก่อนจะทักทาย อย่างที่ใครต่อใครเขาทำเมื่อพบกัน
       มันผิดธรรมดาของเพื่อนผมคนนี้ ที่มักพูดด้วยสายตามากกว่าคำพูด
คงต้องเป็นเรื่องสาหัสฉกรรจ์อย่างไม่ต้องสงสัย
       “แน่…ยังทำหน้าเหมือนไปต่างประเทศมาอีก” เพื่อนเน้นเสียง เมื่อเห็นหน้าตางง ๆ ของผม
       “เคยบ้างไหมที่ฝันร้ายตอนที่ตื่นอยู่…” เพื่อนไม่รอคอยคำตอบ
       “ถ้าฝันร้ายตอนหลับพอตื่นก็หมดกันไปแต่นี่ต้องฝันร้ายขณะตื่นอยู่เต็มอัตรา…มันร้ายแค่ไหนลองคิดดู”  เพื่อนพูดต่อ ท่าทางสื่อชัดเจนว่าคราวนี้ไม่คิดจะคุย
       “ไอ้เราก็คิดว่ามันจะออกมาดีเห็นเตรียมข้อมูลเห็นคุยเป็นคุ้งเป็นแควว่าคราวนี้อยู่หมัดแน่นอน…อีโธ่เอ้ยมันก็อีหรอบเดียวกัน” เวลาเพื่อนผมเครื่องร้อนแบบนี้ ดีที่สุดคือปล่อยเขาพูด
       “เที่ยวออกข่าวแทบทุกวันแถมหอบเอกสารประกอบเป็นกอง ๆ …ที่แท้ก็คือเล่นกันนอกรอบตีกรอบให้ลนลาน…พออีกฝ่ายร้อนท้องก็ต้องรีบงัดหลักฐานเด็ดออกมาตอบโต้กลายเป็นไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่…”
       สมองผมโลดแล่นหาข้อมูลด้วยความรวดเร็ว พยายามนำมาเรียบเรียงประกบข้อมูลกระท่อนกระแท่นที่เพื่อนกำลังพูด เพื่อพอจะรู้ว่าเพื่อนกำลังพูดถึงอะไร
       และผมมักจะเหนื่อยสมองกับการพูดคุยกับเพื่อนผมคนนี้อยู่เป็นประจำ
       เพราะพูดแต่ละที ไม่มีคำนำ ไม่มีหัวเรื่อง ไม่มีบทสรุป
       มันเป็นการท้าทายความสามารถของคนฟังอย่างเห็นได้ชัด
       ความที่หูต้องจับใจความห้วน ๆ  ตาต้องอ่านท่าทีสีหน้า สมองต้องโลดแล่นสั่งงาน…ทำให้การพูดคุยกับเพื่อนคนนี้มีรสชาติไปอีกแบบ
       ตอนแรก ๆ เพื่อนมักจะหงุดหงิดเมื่อผมต่อเรื่องไม่ติด แล้วเลิกพูดเลิกจาไปเฉย ๆ
       “รำคาญ คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่คุยแล้ว…”
       บ่อยเข้าผมเริ่มมีการพัฒนาทักษะ  ทุกอย่าง… อะไรก็ได้  ที่จะช่วยให้ผมจับเรื่องจับความสิ่งที่เพื่อนผมพูดไม่กี่คำ และที่ไม่พูดอีกตั้งหลายอย่าง
       การพูดคุยกับเพื่อนคนนี้จึงมีทั้งรสชาติและเป็นการพัฒนาเชาว์ไปในตัว
       “พอวันจริง…ผิดหวังไปตามๆกันมันก็เรื่องเดิมๆเอามาพูดใหม่ใส่สีใส่รสใส่กลิ่น…จนเละเทะ”         เพื่อนเน้นสองสามคำหลัง กระแทกกระทั้นอย่างเหลืออด
       “จริง ๆ แล้วมันก็คือละครการเมืองที่แสดงให้เราดูนั้นแหละ…ที่ว่าละครโทรทัศน์น้ำเน่าก็ยังดีกว่าเป็นไหนๆ  ดูไปทำใจไปว่าเป็นเรื่องมายาเรื่องแต่งดีกว่าอยู่เปล่าๆ…แต่นี่มันเรื่องจริงกลับมาทำเป็นละครเสียนี่แล้วมันจะเหลืออะไรอีก…ขอถามหน่อยเถอะ”
       ผมรอประโยคสุดท้ายนี้มานานแล้ว โอกาสของผมที่จะได้ “คุย” บ้างหละ
       “อย่างนี้ราษฎรตาดำ ๆ แบบเรายังจะมีความหวังกับคนที่เราอุตส่าห์เลือกเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงในการบริหารบ้านเมืองเพื่อความอยู่ดีกินดีของเราได้อีกหรือขอถามหน่อยเถอะ” เพื่อนชิงพูดต่อ ราวกับว่าผมไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อตอบคำถามแรก
       “ที่สุดแล้วทุกอย่างคงเหมือนเดิมก็เพราะขาดความกล้าและความเด็ดขาดในการเล่นบทบาทที่ควรจะเล่น…ฝ่ายค้านที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายรัฐบาลพบเห็นความไม่ชอบมาพากลก็น่าจะว่ากล่าวชี้แจงกันให้หมดเปลือกจะได้มีการแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความดีของประเทศชาติ…แต่นี่ทำยึกยักท่าทีจริงจังราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเวลาเดียวกันก็คอยปกปิดป้องปัดพฤติกรรมตัวเองในเวลาเดียวกัน…มันก็เลยต้องลงเอยแบบนี้แหละ”  ที่สุดผมก็ถึงบางอ้อ
       จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้ติดตามการอภิปรายมาตั้งแต่แรกเลย เพราะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่ามันจะออกมาอย่างไร  ใช้เวลาเพื่อทำสิ่งมีประโยชน์ดีกว่า
        คนเราหากคิดจะทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมือง ต้องพร้อมจะลำบาก พร้อมจะเปลืองตัว พร้อมจะเจ็บ
       แต่ตราบใดที่ทำไป สงวนท่าทีไป   หรือทำไป คอยรักษาปกป้องผลประโยชน์ไป…ประเทศชาติก็มีแต่เสียกับเสียหาย
       จะแฉลึกความผิดพลาดของอีกฝ่ายก็กลัวความผิดพลาดของตัวเองจะปรากฎ
       จะโจมตีอีกผ่ายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ทำพอเป็นพิธีเกรงว่าโอกาสหน้าจะไม่มีเอี่ยว
       จะพูดไม่ไว้วางใจอย่างตรงไปตรงมาก็อ้ำๆอึ้งๆวกไปเวียนมาซ้ำๆซากๆ
         แม้แต่ขณะกำลังทำหน้าที่ ก็ยังไม่วายที่จะประชาสัมพันธ์ตนเอง หาโอกาสแจ้งเกิด
       “คงต้องรอให้หมดรุ่นนี้ไปก่อน  การเมืองบ้านเราจึงจะเป็นการเมืองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง…”
       ประโยคทิ้งท้ายของเพื่อน ก่อนจะจบการพูด(ฝ่ายเดียว)คุยกันวันนั้น •

 



-TOP-