ห็นรูปสังฆราช  สงฆ์  และซิสเตอร์ในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วรู้สึกดีใจครับ ดีใจที่กิจการดีเริ่มเป็นข่าวขึ้นมามากขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้ข่าวร้ายครอบครองพื้นที่ไปแทบทุกหน้าหนังสือพิมพ์
       มันเป็นการบ่งบอกว่า  ในสังคมคนทุ่มเทเพื่อความดีในระดับต่างๆ  ยังมีอีกมาก แม้จะไม่เป็นข่าวให้เห็นบ่อยนัก
       มันเป็นการตอกย้ำว่า  สังคมเรายังไม่ถึงจุดวิกฤติ  ถึงขั้นแตกหัก  แม้จะเต็มด้วยคนชั่วที่มุ่งหมายทำลายเพียงเพื่อสนองตัณหาของตนฝ่ายเดียว เพราะมีคนดีจำนวนมากที่คอยปกป้อง  ประคับประคอง  ค้ำจุน  และเสริมสร้างความดีขึ้นมาหักล้างความไม่ดีต่าง ๆ  อย่างเรียบๆ แต่เสมอต้นเสมอปลาย  มาโดยตลอด

       ก่อนนี้  ในแวดวงคริสตชนมีความคิดว่า  กิจการดีต้องทำเงียบ ๆ และไม่ต้องป่าวประกาศ เดี๋ยวจะเสียบุญกุศล เพราะถือว่าได้รับคำชมจากมนุษย์แล้ว
       เคยคิดเหมือนกันว่า  ไม่ต้องโฆษณาความดี  เพราะพระบิดาเจ้าผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับทรงรับทราบหมด
       เคยถือกันเรื่อยมาว่า  ทำอะไรดีต้องเก็บเงียบไว้  เดี๋ยวจะเสียความสุภาพ
       บางครั้งก็เกิดความขัดแย้ง  เมื่อคิดถึงคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ว่า ต้องทำให้ความดีปรากฏเพื่อให้คนที่เห็นจะได้สรรเสริญพระเจ้า  แต่ก็มีอีกตอนหนึ่งที่ทรงสอนว่า  อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร
       ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว บริบทของแต่ละคำสอนไม่เหมือนกันเลยทำให้ที่ผ่าน ต่างขยันขันแข็งและมั่นคงในการทำความดี อย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด

       ในยุคโลกาภิวัตน์  การประชาสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งยวดและขาดเสียไม่ได้
       แทบจะพูดได้ว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญไม่แพ้อาหาร  น้ำและอากาศหายใจ
       ในยุคที่ไม่มีกำแพงกีดกั้นการประชาสัมพันธ์ข่าวสารความเป็นไปนี้  การไม่ขวนขวายรับรู้ถือว่าเป็นการพาตนเองก้าวกอยหลังไปโดยปริยาย
       เพียงแค่มองการโฆษณาผลิตภัณฑ์ต่างๆ  ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ  มีการทุ่มงบประมาณมหาศาล  และไม่ใช่ทำแค่ครั้งสองครั้ง
       มีคนพูดไว้อย่างน่าคิดว่า    “ธุรกิจใดที่ไม่มีการประชาสัมพันธ์  ก็เหมือนกับชายหนุ่มที่ขยิบตาให้สาวๆในที่มืด”
       การโฆษณาจึงเป็นการทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสและชื่นชอบกับสินค้าก่อนที่จะเห็นตัวสินค้าเสียอีก
       จะว่ากันแล้ว  ก่อนจะซื้อหาก็บริโภคสินค้านั้นเข้าไปในใจเรียบร้อยแล้ว เมื่อใจอยู่ที่สิ่งของสิ่งใด  ไม่ช้ามือก็จะต้องได้สัมผัสและถือเป็นกรรมสิทธิ์

       ในสังคมบริโภคนิยม  มีการพูดตัดพ้อต่อว่า  คนเอาแต่สนใจวัตถุสิ่งของ จนมองข้ามด้านจิตใจ
       บ่อยครั้ง  ถึงขนาดสละคุณค่าด้านจิตใจ  เพียงเพื่อแลกกับสิ่งของไม่กี่อย่าง  เงินทองไม่กี่บาท
       แต่นอกจากจะพูดตัดพ้อต่อว่า  น่าจะมายอมรับความจริงด้วยกันว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะวัตถุสิ่งของมีการประชาสัมพันธ์กันโจ่งแจ้งชัดเจน  และต่อเนื่องมากกว่าเรื่องของจิตใจ
       วันหนึ่ง ๆ มีการโฆษณาแต่ของน่ามีน่าใช้  ตั้งแต่เช้าจรดเย็นประดังเข้ามาทั้งทางตาและทางหู  แล้วจะมีที่สำหรับเรื่องจิตใจได้อย่างไรอีก?
       ถึงเวลาหรือยังที่กิจการดี  กิจการด้านจิตใจ  กิจการด้านศาสนา  จะออกจากที่มืดและมายืนในที่แจ้ง  ขยิบตาให้เห็นชัดๆเสีย? •

 

 



-TOP-